ข่าวปนคน คนปนข่าว
**สายสีเขียวที่คล้อง “คีรี-ชูวิทย์” เข้าด้วยกัน ต้านสีส้ม แต่ สถานีต่อไป BTS จะหกล้มตีลังกา เพราะสัญญาส่อ “โมฆะ-ยกเลิก”!!?
เดือดปุดๆ ยิ่งกว่าน้ำในกาบนเตาสำหรับรถไฟฟ้าสองสี “ส้ม” และ ”เขียว”
สีส้มถูกขย่มจาก “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” กุเรื่อง “เงินทอน” 30,000 ล้าน ร้องโหวกเหวก ปั้นเกม เดินสายร้องเรียนตั้งแต่นายกฯ-คมนาคม ไปจนถึงด้อยค่ากรรมการ ป.ป.ช. สกัดกั้นเต็มที่ เพื่อมิให้ “สีส้ม” เข้า ครม. ท่ามกลางความสงสัย อดีตเจ้าของอ่าง อาบอบนวด ทำไมเปลี่ยนไป แฉเรื่องทุนสีเทาอยู่ดีๆ มาตี “สีส้ม” ได้ไง? หรือเพราะรับงานใครมา? กระทั่งว่า วันนี้คงถึงบางอ้อ กันเรียบโร้ย!!
ในจังหวะไม่นานต่อเนื่องกัน มีกระแสข่าว “สีเขียว” ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหา ต่อ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ขณะดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) “เจ้าสัวคีรี” คีรี กาญจนพาสน์ กับพวกรวม 13 คน รวมถึง บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ด้วย
งานก็เลยเข้า “เจ้าสัวคีรี” เจ้าของสัมปทานสีเขียวเต็มๆ !!
นำไปสู่การตั้งโต๊ะเปิดเวทีโต้กลับ นำโดย “คีรี กาญจนพาสน์” “สุรพงษ์ เลาหะอัญญา” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และ “พ.ต.อ. สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย” ที่ปรึกษาประธานกรรมการ ของบีทีเอส
“คีรี” สีหน้าท่าทางบ่งบอกว่ามีไฟรุมสุมอก หน้าเขียวกว่าสายรถไฟฟ้าด้วยความแค้นเคือง ว่า การที่ตัวเองออกมาต่อสู้เรื่องโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม พวกคุณเล่นงานกันถึงขนาดนี้เลยหรือ ?
“คีรี” ปักใจเชื่อว่า เรื่องนี้มีขบวนการที่ต้องการให้บีทีเอสได้รับความเสียหายถึงขนาดให้ “ล้มละลาย” กันเลย เริ่มตั้งแต่การไม่จ่ายเงินค่าจ้างเดินรถ และค่าระบบให้บีทีเอส และปล่อยให้พอกพูนกว่า 50,000 ล้านบาท หลังจากนั้น ก็นำเรื่องนี้มาเล่นงานเอกชน โดยเฉพาะการสมคบกัน เอาข้อมูลของ ป.ป.ช. มาออกข่าว เพื่อหวังให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจ และความเชื่อมั่นของบีทีเอส ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นบีทีเอส ร่วงลงติดฟลอร์
ส่วนคดีที่อยู่กับ ป.ป.ช. บริษัทไม่ทราบเรื่อง เพราะไม่เคยแจ้งหรือถูกเรียกไปให้ข้อมูล จนกระทั่งในช่วงเวลาที่ได้แสดงตัวต่อสู้กับเรื่องการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม เริ่มมีความรู้สึกแปลกๆ ว่า เรื่องนี้มันจบไปแล้วไม่ใช่หรือ แล้วทำไมยังมีการสอบถามเรื่องนี้อีก จนกระทั่งได้มีหนังสือแจ้งข้อกล่าวหามาที่ตัวเอง และผู้เกี่ยวข้อง
“คีรี” ยังเรียกร้อง ขอให้หยุดกลั่นแกล้งกันได้แล้ว!!
นั่นในมุมการต่อสู้ของเจ้าสัว ซึ่งก็ไม่รู้เป็นเรื่องบังเอิญจนเกินไปหรือไม่ ที่เป็นมุมเดียวกับ “จอมแฉ” ที่ตอนหลังกลายเป็น “จอมแถ” อย่าง “ชูวิทย์ ณ Chuweed” เคลื่อนไหวในฐานะ “นักแสดง” ตั้งแต่ต้น เปิดโปงได้เอกสารยื่นให้นายกฯ ที่ต่อมาคนตาดีไปเห็น เฮ้ย! นี่มันก๊อบปี้เดียวกันของ BTS นี่หว่า มาจนถึงการเคลื่อนไหวกล่าวหา กรรมการ ป.ป.ช. ที่ทำคดี “สีเขียว” หากต่อจิ๊กซอว์ดีๆ จะเห็นถึงความโยงใยคล้ายเชือกที่คล้อง “คีรี” กะ “ชูวิทย์” เข้าด้วยกัน
จากสถานการณ์วันนี้ ได้รู้แล้วว่า “สีส้ม” ยังไปไม่ถึงสถานี ครม. ขณะที่สถานีต่อไปของ “สีเขียว” อยู่ที่ไหน? นี่สิน่าสนใจ
ที่แน่ๆ “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” อดีตสมาชิกวุฒิสภา เคลื่อนไหวล่าสุด มีข่าวได้ส่งหนังสือถึง “ป.ป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อขอให้ตรวจสอบว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งระบบ ได้รับอนุญาต หรือได้รับสัมปทานจากรัฐมนตรี ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 โดยถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ หากไม่มี จะถือว่าสัญญาหรือนิติกรรมใดๆ เป็นโมฆะ ตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 115 หรือไม่ และจะต้องระงับหรือยกเลิกสัญญาที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ?
เรื่องนี้เป็นผลพวงต่อเนื่องจาก กรณี ป.ป.ช. มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาบุคคลที่เกี่ยวข้อง “สีเขียว” รวม 13 ราย ดังกล่าวจึงมีประเด็นต้องกลับมาพิจารณาว่า โครงการดังกล่าวได้ดำเนินการตามกฎหมายหรือไม่?
เรื่องนี้ ทำให้ต้องย้อนไปดูประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 115 ซึ่งบัญญัติว่า การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่มีกฎหมายบังคับไว้ การนั้นท่านว่าเป็นโมฆะ
ดังนั้น เรื่องนี้ จึงจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องทำหนังสือถึง รมว.มหาดไทย และผู้ว่าฯ กทม. เพื่อขอให้ตรวจสอบ
“เรืองไกร” เจ้าของฉายา “นักร้อง” มือวางอันดับหนึ่ง ยังยกตัวอย่างเปรียบเทียบโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่เกิดขึ้น ทำให้นึกถึงโครงการจัดซื้อรถเรือดับเพลิงของ กทม. ในอดีต ซึ่งไม่อยากให้เกิดเรื่องซ้ำรอยในลักษณะดังกล่าวขึ้นมาอีก เพราะจะเกิดปัญหาฟ้องร้องดำเนินคดีกันไปมา และประชาชนอาจต้องรับภาระ
ขณะที่วันก่อนหน้า “มานะ นิมิตมงคล” เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT พูดถึงกรณีเดียวกันนี้ ว่า เป็นคดีที่ ป.ป.ช.ใช้เวลาในการพิจารณายาวนานมาก จะเห็นว่า ที่ผ่านมา รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนแรก และส่วนขยาย มีความไม่ชอบมาพากลหลายๆ อย่าง
เห็นชัดได้จากเอกชนรายนี้ยังสามารถเป็นผู้บริหารจัดการโครงการช่วงเริ่มแรกได้อย่างต่อเนื่อง และยังมีสัญญาผูกพันกันอีกกว่า 10 ปี เป็นอย่างน้อย เมื่อมีเสียงเรียกร้องให้มีการทบทวนค่าโดยสารที่เป็นธรรมกับผู้บริโภค คนที่เป็นผู้ว่าฯ กทม. ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ชัดเจนในเรื่องนี้ เมื่อมีการเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสัญญาให้ประชาชนได้รับรู้ว่าเกิดอุปสรรคอะไร จนถึงบัดนี้ก็ไม่สามารถเปิดเผยได้
เท่านี้ยังไม่พอ ลองไปดูคำให้การ ของ “กรุงเทพธนาคม” กับศาลปกครอง ยิ่งมัดแน่นว่า ไม่มีอำนาจลงนามในสัญญา เพราะยังไม่ได้รับอนุมัติจาก รมว.มหาดไทย ให้ดำเนินการ และการจัดทำสัญญาจ้างไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภา กทม.เมื่อสัญญาจัดจ้าง เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หนี้ที่เกิดขึ้นจึงเป็นหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเดี๋ยวเรื่องนี้คงได้มาขยายความกันต่อแน่ๆ
เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่เป็นความไม่ชอบด้วยกฎหมาย
งานนี้ BTS จะจอดสถานีไหน ผู้โดยสารต้องเตรียมตัวลงจากรถกันหรือไม่ ต้องติดตาม.
**สุดแนว!! “พิเชษฐ” ลาออก “พปชร.” เข้าพรรคเปลี่ยน ของ “นอท กองสลากพลัส”
ขณะนี้ถือว่าเป็นช่วงท้ายๆ ของการย้ายพรรคกันแล้ว อย่าง “กลุ่มสามมิตร” พรรคลุงป้อม ที่มีข่าวมาอย่างต่อเนื่องว่าจะย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทย ก็ชัดเจนแล้วว่าไปแน่ วันที่ 17 มี.ค.นี้ จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ... หรืออย่างกรณีของ “จุติ ไกรฤกษ์” รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ประชาธิปัตย์ ก็ยื่นหนังสือลาออกจากพรรคแล้วตั้งแต่วันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา แล้วสมัครเป็นสมาชิก พรรครวมไทยสร้างชาติ ของ “ลุงตู่” เรียบร้อย
และเมื่อไม่กี่วันมานี้ ก็มีข่าว “พิเชษฐ สถิรชวาล” ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็ลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ บอกว่าจะไปร่วมงานการเมืองกับ “พรรคเปลี่ยน” ที่มี “พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์” หรือ “นอท กองสลากพลัส” เป็นหัวหน้าพรรค
สำหรับ “พิเชษฐ” นั้น ก่อนหน้านี้ เขาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธรรมไทย ทำตัวเป็น “ลูกพี่ใหญ่” ในบรรดาพรรคเล็ก พรรคจิ๋ว ในการไปเจรจาต่อรองกับแกนนำรัฐบาล ในช่วงที่รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ต้องการมือสนับสนุนในการโหวต ต่อมาก็ยุบพรรคตัวเองแล้วย้ายมาเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ของพรรค พปชร. ตามโมเดลที่ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
แม้มาอยู่ พปชร. พรรคแกนนำรัฐบาลแล้ว แต่พิเชษฐก็พร้อมเขย่าขวัญรัฐบาลทุกครั้งที่มีโอกาส!!
ส่วน พันธ์ธวัช นาควิสุทธ์ หรือ “นอท กองสลากพลัส” CEO ของกองสลากพลัส หลังจากเจอเจ้าหน้าที่บุกตรวจค้นสำนักงาน โดนแจ้งข้อกล่าวหาไปหลายคดี และ “กองสลากพลัส” ถูกสั่งระงับการจำหน่ายสลาก ก็เลยมาตั้งพรรคการเมือง ชื่อ “พรรคเปลี่ยน” เป็นหัวหน้าพรรคเอง และจะลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1
“ที่ชื่อว่าพรรคเปลี่ยน เป็นการเปลี่ยนเพื่ออนาคต เปลี่ยนเพื่อกล้าพอ โลโก้ เป็น ป.ปลา ไขว้กัน เป็นหัวลูกศรขึ้น ตั้งใจเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีขึ้นในอนาคต ผมไม่มีอุดมการณ์การเมืองซ้าย หรือขวา เจอปัญหาตรงไหนก็แก้ปัญหา อยากแก้ปัญหาลอตเตอรี่ให้ได้จริง อาชีพคนขายลอตเตอรี่น่าสงสาร คนจน คนพิการ ขาย เป็นอาชีพของเขา จำนวนที่ขายก็เท่าเดิมไม่ว่าผ่านมากี่ปี กำไรจากการขายไม่พอเลี้ยงชีพ สุดท้ายแล้วก้าวต่อไปของผม คือ พรรคเปลี่ยน ผมจะสมัครระบบปาร์ตี้ลิสต์ จะดูแลคนขายสลาก 2 แสนคน”
แค่เปิดตัว เปิดโลโก้พรรค ก็ถูก “พรรคสีส้ม” โวยว่าเจตนาลอกเลียนแบบโลโก้พรรคแล้ว
จากนั้นข่าวคราวทั้งคน ทั้งพรรค ก็เงียบหายไป มาได้ยินชื่อ “พรรคเปลี่ยน” อีกครั้งก็ตอนที่ “พิเชษฐ” บอกว่าจะย้ายไปอยู่ด้วยนี่แหละ
“พิเชษฐ” บอกว่า จากที่ได้พูดคุยกับ “นอท” ตั้งแต่ตอนที่เขาทำพรรคการเมือง ก็บอกเขาไปว่า การเป็นนักการเมืองจะต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นจากหลายฝ่าย ซึ่ง “นอท” ก็ตอบมาว่ายินดี และพร้อมรับการตรวจสอบ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจเข้าร่วมงานกับพรรคเปลี่ยน
นอกจากนี้ นโยบายพรรคต้องการเปลี่ยนชีวิตคนรากหญ้าให้ดีขึ้น คนที่อยู่ระดับกลางจะต้องมีรายได้เพิ่มขึ้น ความเป็นอยู่จะต้องดีขึ้น โดยไม่ต้องเน้นนโยบายประชานิยม
“พิเชษฐ” บอกว่า จะลงสมัครในระบบบัญชีรายชื่อ และแย้มว่าหลังจากนี้จะมี อดีตรัฐมนตรี อดีต ส.ส.อีกหลายคน มาร่วมงานกับพรรคเปลี่ยน ซึ่งส่วนใหญ่จะลงสมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ
ถามว่าเอาความเชื่อมั่นมาจากไหนว่าอยู่ “พรรคเปลี่ยน” แล้วจะมีโอกาสได้ลุ้นเก้าอี้ ส.ส. “พิเชษฐ” บอกว่า อย่าลืมว่าเครือข่ายผู้ค้าสลาก และลูกค้าของ “กองสลากพลัส” นั้นมีประมาณ 5 ล้านคนเชียวนะ
คนหนึ่งเป็นมือเก๋าทางการเมือง อีกคนเป็นมือเก๋าในด้านการสร้างภาพลักษณ์ จูงใจ... ก็ขอให้โชคดี ได้เป็น ส.ส.สมความตั้งใจละกัน!!