“ท่านใหม่” เผย ขอลุงป้อม มองขึ้นบนฟ้าบ้าง อย่าดึงฟ้ามาเล่น แล้วอย่าเอามือไปปิดพระอาทิตย์ เหมือนบางคน บางพรรค ก่อนรับปาก “ทนายนกเขา” อัด “เต้น”- ณัฐวุฒิ” พา ปชช.ไปติดกับดัก ไม่พาออกทางใหม่ ซัด เสมือนจิตวิญญาณเป็นทาส
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (4 มี.ค. 66) ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือ “ท่านใหม่” โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก จุลเจิม ยุคล ระบุว่า
“การเมืองผมไม่ยุ่งเกี่ยว เป็นหน้าที่ของนักการเมือง เพียงแต่ผมขอร้องว่า อย่าเอามือ (พรรคการเมือง) ไปปิดพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ทำคุณประโยชน์ให้เราเหลือคณานับ
ผมได้คุยกับลุงป้อมหลายๆ เรื่อง ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ดีมากครับ ในหลายๆ เรื่อง ผมดีใจที่ได้คุยในสิ่งที่อยู่ในใจผม เรื่องหนึ่ง คือ ขอให้ลุงป้อม มองขึ้นไปบนฟ้าบ้าง อย่าดึงฟ้ามาเล่น แล้วอย่าเอามือไปปิดพระอาทิตย์ เหมือนบางคน บางพรรคการเมือง ไม่ดีหรอกครับลุง ลุงป้อมรับปากว่า เรื่องนี้ต้องทำ และอยู่ในใจ ตลอด แน่นอน (ไม่ว่าได้เป็นนายกฯ หรือไม่) เพราะในฐานะเป็นทหารเก่า ตั้งแต่ร้อยตรี ถึงพลเอก ย่อมจะมีความจงรักภักดี และทำเพื่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมได้ฟังแล้ว รักลุงป้อมเลย ถ้ารับปากและทำจริงๆ และมีบางเรื่องพอที่ผมจะเล่าได้ในฐานะประชาชนที่ได้คุยกัน ถ้ามีโอกาสจะทยอยเล่าให้ฟังนะครับ
ขอบคุณลุงที่เลี้ยงกาแฟและขนมและให้เวลาผมได้เปิดใจและรับฟังจากประชาชนคนหนึ่งครับลุงป้อม ขอให้ทำตามที่ผมขอร้องนะครับ เราจะได้ข้ามความขัดแย้งกันสักที”
ขณะเดียวกัน นายนิติธร ล้ำเหลือ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “เปิดตัวจริงหรือ?” ระบุว่า
เพื่อไทยตั้ง เศรษฐา ทวีสิน เป็นที่ปรึกษาอุ๊งอิ๊ง ยิ่งทำให้พรรคประชาธิปไตยด้อยค่าลงเป็นเพียงธุรกิจครอบครัว รวมทั้งสะท้อนถึงพฤติกรรมหลอกลวง และย่ำยีนักการเมืองเป็นพวกไร้ค่า ไม่มีราคา ปากกล้าคุยโวทางการเมือง
นายนิติธร หรือ ทนายนกเขา กล่าวว่า การเปิดตัวของ เศรษฐา ทวีสิน ไม่ได้ทำให้เพื่อไทยมีคะแนนเพิ่มเลย แต่ยิ่งมีปัญหาชวนคิดจะผูกมัดเพื่อไทย เพราะแม้เป็นการเปิดตัวเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย แต่ใช้ข้อบังคับพรรครับรองให้มาทำงาน ส่อเป็นการผูกมัดตั้งแต่เริ่มต้น
อีกทั้งระบุว่า การดำเนินการของ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร กับ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย แสดงว่า เป็นกิจกรรมหนึ่งเดียวกัน และไม่ได้แยกขาดจากพรรค ซึ่งพรรคและกรรมการบริหารต้องรับผิดชอบ ดังนั้น สิ่งนี้จึงเป็นใบเสร็จนำสู่ข้อหายุบพรรคได้ โดยไม่ต้องสอบอะไรเพิ่มเติมอีก เท่ากับสังหารตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว...
ส่วนการเชื่อมโยงระหว่างประกอบธุรกิจกับการใช้อำนาจรัฐนั้น นายนิติธร กล่าวว่า มีการพึ่งพิงกันในการใช้อำนาจรัฐส่งเสริมธุรกิจ จึงแสดงให้เห็นว่า เศรษฐาได้เปิดตัวมานานแล้ว และคาดว่า คนเพื่อไทยคงมีรายละเอียดด้านลึกมากกว่านี้
ดังนั้น นับจากนี้ไป เชื่อว่า สังคมจะตรวจสอบการดำเนินธุรกิจของเศรษฐา กับ ยิ่งลักษณ์ ทั้งการซื้อที่ดินตรงไหนที่สอดคล้องกับโครงการของรัฐบ้าง หรือกรณีขายบ้านให้ทุนจีนสีเทา จึงเป็นความสัมพันธ์ของเศรษฐากับเพื่อไทย และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อีกอย่างโยงคนที่เรียกชื่อกันว่า นายขงเบ้ง มาเชื่อมกันตรงไหน รวมถึงพัวพันกับการซื้อขายที่ดินอาบอบนวดหรือไม่ ซึ่งพฤติกรรมของนายขงเบ้งมีหลากหลาย และนายเศรษฐาต้องพูดเรื่องนี้ให้ชัด
“ผมคิดว่า การมารับใช้ประชาชนต้องรู้ว่าตัวเองทำสิ่งใดไม่เป็นมงคลกับชีวิตที่เป็นความชั่วไว้บ้าง สิ่งที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่มา 9 ปี เพิ่งพูดได้ชัดเจนครั้งแรกว่า เศรษฐกิจประเทศไม่ใช่ธุรกิจของครอบครัวตัวเอง ซึ่งเป็นคำพูดโยนไปถึง ทักษิณ ชินวัตร” นายนิติธร กล่าว พร้อมระบุว่า การตั้งเศรษฐา เป็นการขว้างงูไม่พ้นคอ จะเกิดความเลวร้ายในวิถีเดิมและคนยิ่งสงสัยระบอบทักษิณหนักขึ้นไปอีก”
นายนิติธร สงสัยว่า เมื่อเพื่อไทยเชิดชูแลนด์สไลด์ด้วยการยกย่องคนอื่น ย่อมทำให้ นายจาตุรนต์ ฉายแสง กับ ชลน่าน ศรีแก้ว กลายเป็นแค่เศษเสี้ยวที่ไม่มีคุณค่าใดๆ ในสายตาของระบอบทักษิณ และไม่มีศักยภาพในการเป็นหัวหน้าพรรค ยิ่งน่าแปลกใจไปอีก เมื่อเพื่อไทยเป็นพรรคใหญ่มีเสียงมากที่สุด กลับไม่มีคุณภาพในการส่งเสริมคนที่เป็น ส.ส.ในพรรคอย่างแท้จริงมายึดโยงประชาชน
“เมื่อทักษิณบอกเชื่อมโยงประชาชน ใกล้ชิดประชาชนจึงไร้ราคาไม่น่าเชื่อถือ ยังอยู่ในภาพจำการหลอกลวงประชาชนให้ไปตาย บาดเจ็บ แล้วถีบหัวส่ง และพฤติกรรมต่างๆ ที่ผ่านมา ก็สอดคล้องกับลักษณะแบบนี้ การส่งอุ๊งอิ๊งมานำเพื่อไทยนั้น เท่ากับเป็นการตบหัวชลน่าน ด้อยค่าจาตุรนต์ และอีกหลายนายที่ปากกล้า ปากดีที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองมาหลายปี แต่ต้องจบลงด้วยการยืนโค้งคำนับให้เด็กเมื่อวานซืน”
พร้อมกล่าวว่า ถ้าอุ๊งอิ๊ง มีคุณภาพ มากประสิทธิภาพ ย่อมไม่มีใครปฏิเสธ และไม่จำเป็นต้องเป็นลูกทักษิณ แต่สิ่งที่เห็นนั้น กลับเป็นพวกนักประชาธิปไตยปากกล้าต้องโค้งให้ลูกคนที่อยู่ต่างประเทศ และไม่ได้แสดงศักยภาพผู้นำพาความคาดหวังอะไรให้ประชาชนเห็น ดังนั้น จึงแสดงแต่ภาพความกลุ่มก้อนผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งทำลายคุณค่าประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
นายนิติธร ตำหนิ นายณัฐวุฒิ ว่า ส่วนหนึ่งมีอิทธิพลความเชื่อกับประชาชน แต่ยังเป็นคนหนึ่งที่ตอบเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันกรณีโครงการจำนำข้าวไม่ได้ จึงสะท้อนถึงจิตวิญญาณประชาธิปไตยที่ไม่มีแก่นสาร ดังนั้น การพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมทำให้ดับสิ้นกันทั้งพรรค
“คนที่เป็นที่ชื่นชอบของประชาชน กลับจะนำความฉิบหายมาสู่ประชาชน นำไปสู่ทางลงเหวนรก ยกย่องเชิดชูคนหนีคดีตามคำพิพากษาของศาล เมื่อเอาเศรษฐาเข้ามา แล้วตรงไหนเป็นความเจริญของพรรค และเป็นโอกาสของประชาชน ของประเทศ มันไม่มีเลย มีแต่รอยด่าง เต็มไปด้วยความเลวร้าย ยิ่งทำเกิดความขัดแย้งยิ่งถ่างเพิ่มเติมไปอีก”
รวมทั้ง สงสัยว่า ทำไมทักษิณ จึงไม่นำพาประเทศก้าวข้ามจากความขัดแย้ง และทำไมต้องทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวของตัวเอง อีกทั้งนายณัฐวุฒิ ทำไมพาประชาชนไปติดกับดัก แต่ไม่พาออกไปทางใหม่ ยังอยู่กับพฤติกรรมที่เดิม เสมือนจิตวิญญาณเป็นทาส แต่ปากพูดคำใหญ่คำโตตลอดเวลา
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจหนีไม่พ้น การเคลื่อนไหวทางการเมืองของ “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทย ที่ถูกตั้งคำถามถึงความไม่ตรงไปตรงมา คล้ายว่ามีวาระซ่อนเร้น ไม่กล้าพูดความจริง รวมถึงการเลือกคนที่จะมาเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ก็เช่นกัน ยังอยู่ใน “วังวน” คนในตระกูล และกลุ่มผลประโยชน์ใกล้ตัว มากกว่าคนที่สังคมยอมรับทั่วไป
ไม่ว่าจะเป็น “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร หรือ นายเศรษฐา ที่ถูกเปิดเผยว่า เคยเป็นที่ปรึกษาอยู่เบื้องหลังรัฐบาลยิ่งลักษณ์มาก่อน
ดังนั้น สิ่งที่น่าจับตามองก็คือ ไม่ว่าใครจะก้าวขึ้นเป็นนายกฯของพรรคเพื่อไทย จึงหนีไม่พ้นคนใน “ระบอบทักษิณ” นั่นเอง