xs
xsm
sm
md
lg

“จตุพร”เตือน! รู้มา “เศรษฐา” ไม่ใช่เล่น! ประวัติอีกด้านจะพรั่งพรูชนิดรับไม่ไหว “วันชัย” ชี้ “ส.ว.” บางกลุ่ม ยึด 5 ปัจจัยโหวตนายกฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ นายเศรษฐา ทวีสิน และทักษิณ ชินวัตร จากแฟ้ม
ต้องฟังไว้ “จตุพร” อ้างรู้มา “เศรษฐา” ไม่ใช่เล่น เชื่อประวัติอีกด้านจะพรั่งพรูออกมาชนิดที่รับกันไม่ไหว ระบุ กระแสเริ่มจางหายเสียงก็เริ่มแผ่วเบา “วันชัย” เผยแกนนำ ส.ว.กลุ่มหนึ่ง สุมหัวกันเคาะแล้ว 5 ปัจจัย โหวตเลือกนายกฯ

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(1 มี.ค.66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน อดีตส.ส. พรรคเพื่อไทย อดีตประธานนปช. เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "ตั้งหลัก"

โดยช่วงหนึ่ง นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อนายทักษิณ อยากกลับบ้านแล้ว เพียงแจ้งกำหนดการเดินกลับเท่านั้น ทุกสนามบินก็พร้อมรองรับ แต่การไม่สามารถกลับไทยได้ เพราะนายทักษิณ ไม่ยอมกลับเอง กลัวถูกติดคุก...

ภาพ นายจตุพร พรหมพันธุ์ จากแฟ้ม
นายจตุพร กล่าวว่า การไม่กลับบ้านของนายทักษิณ ถูกหยิบมาเป็นปัญหาหลักของประเทศไทย ดังนั้นจึงควรตั้งหลักคิด ถ้าอยากกลับมีเวลาไม่กี่เดือนก่อนเลือกตั้ง ยิ่งถ้านางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือ "อุ๊งอิ๊ง" เป็นนายกฯ ยิ่งกลับไม่ได้ใหญ่ เพราะฉะนั้นตนเสนอให้เพื่อไทยก็เอากันให้มันสุดไปเลย โดยมีแคนดิเดตนายกฯคนเดียวเลย เพราะคนที่สองคนที่สาม ที่มีความตั้งใจนั้นมันไม่ง่าย

นายจตุพร ยังพูดถึงนายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ล่าสุดได้รับแต่งตั้งเป็นประธานที่ปรึกษาครอบครัวเพื่อไทย และตกเป็นข่าวเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย ว่า นายเศรษฐา มาก็จะมีแผลอีกแผลใหม่เยอะแยะมากมาย จะเป็นสตอรี่เรื่องราวที่นายเศรษฐา ก็ไม่คาดคิด ว่าในชีวิตตัวเองมันมีประวัติบัดซบได้ขนาดนั้น

ส่วนมีกระแสล่าสุดมีชื่อ นายจาตุรนต์ ฉายแสง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว นายจตุพร กล่าวว่า ก็แล้วแต่ใครจะคิด เพราะว่าเมื่อเอาตรงไหนมาไม่ได้ ก็ต้องเอาของตาย ซึ่งในพรรคเพื่อไทยที่เอ่ยชื่อมานั้น ก็สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เพียงแต่ที่ผ่านมาเขา (ทักษิณ) เอาคนอื่นมา

อย่างไรก็ตาม กระแสนายเศรษฐา เริ่มจางหายเสียงก็เริ่มแผ่วเบา เพราะว่านักธุรกิจ เขาก็ต้องชั่งน้ำหนักเข้ามาแล้วได้กับเสียมันคืออะไร เพราะนักธุรกิจ คือได้กับเสียเท่านั้น ถ้าเสียมากกว่าได้ อยู่กันดีๆ มีแต่เสีย หลากหลายเรื่องราวที่ใครไม่เคยรับรู้ ทันทีที่เข้ามาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ประวัติจะพรั่งพรูออกมา สตอรี่เรื่องราวต่างๆจะออกมาชนิดที่จะรับกันไม่ไหว

"ผมไม่ได้รู้จักคุณเศรษฐา แต่ที่ได้ฟังมา ก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ซึ่งไม่ได้ออกมาจากปากผมแน่นอน เพราะผมไม่รู้จักคุณเศรษฐา รู้จักเพียงแค่บางบริบทที่เกี่ยวข้องสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์เท่านั้น แต่บริบทเฉพาะตัวของคุณเศรษฐานั้น ในแวดวงนักธุรกิจที่รู้จักกันดี ดังนั้นให้คุณเศรษฐา เชื่อตัวเองว่าในชีวิตนี้ทำอะไรมาบ้างที่คนทั่วไปไม่รับรู้ก็จะเป็นประเด็นที่สังคมไทยได้รับรู้ขจรขจาย ก็จะเป็นเศรษฐาอีกคนหนึ่ง เป็นเศรษฐาอีกบริบทหนึ่ง"

ภาพ นายวันชัย สอนศิริ จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า

“โหวตนายกฯที่ก้าวข้ามความขัดแย้ง

ผมได้ร่วมประชุมกับแกนนำคนสำคัญของส.ว.กลุ่มหนึ่งเมื่อเร็วๆนี้ ณ ที่แห่งหนึ่ง มีการปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับการโหวตนายกฯ ได้ข้อสรุปร่วมกันว่า

1. ตามรัฐธรรมนูญเขาให้ส.ส.เป็นคนเสนอชื่อนายก ส.ว.เป็นเพียงคนโหวตสนับสนุนเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ไม่มีอำนาจเสนอนายกโดยตรง ดังนั้น เมื่อใครหรือพรรคใดรวมเสียงส.ส.ส่วนใหญ่ได้มากเกินกว่ากึ่งหนึ่งและเสนอใครเป็นนายก พวกเราก็จะโหวตให้กับคนๆนั้น

2. เป็นไปตามหลักของประชาธิปไตยและตามความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่

3. เป็นความถูกต้องและถูกใจของประชาชน

4. ลดความขัดแย้ง ไม่ก่อให้เกิดปัญหากับประเทศ

5. เป็นผลดีกับทุกฝ่าย ทั้งส.ส. ส.ว.และประชาชน

การโหวตให้กับใครหรือพรรคใดที่ได้เสียงข้างน้อยเป็นนายก จะก่อให้เกิดวิกฤตกับประเทศ ไม่เป็นผลดีกับฝ่ายใดเลย... นี่คือความชัดเจนและแนวทางของการสร้างความปรองดอง ก้าวข้ามความขัดแย้งได้จริง...”

แน่นอน, มีสองประเด็นที่น่าจับตามอง ประเด็นแรก กรณี “จตุพร” พยายามชี้ให้เห็นว่า “เศรษฐา” ไม่ใช่เล่น! ในสิ่งที่แวดวงนักธุรกิจรับรู้กัน ทั้งยังเชื่อว่า ถ้าเขาถูกเสนอชื่อเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ของพรรคเพื่อไทย ข้อมูลอีกด้านจะพรั่งพรูออกมา เป็น “เศรษฐา” คนละคนไปเลย

ฟังดูแล้วทำให้อย่างรู้ขึ้นมาทันทีว่า ข้อมูลที่จะพรั่งพรูออกมา คืออะไร และน่าติดตามอย่างยิ่ง

ประเด็นที่สอง กรณีส.ว.วันชัย ออกมาเผยว่า จากการที่ได้ไปร่วมประชุมกับส.ว.บางกลุ่ม แล้วมีความเห็นร่วมกัน ว่า จะโหวตเลือกนายกฯ ในแบบฟังเสียงประชาชน หรือ ยึด “ผลเลือกตั้ง” เป็นสำคัญ รวมทั้งจะไม่เลือกพรรคเสียงข้างน้อยเป็นนายกฯโดยเด็ดขาด

นั่นอาจหมายถึง กรณี “2 ป.” ที่มีกระแสข่าวว่า แม้ไม่ชนะเลือกตั้ง แต่ถ้าเสียงบวกกับ“ส.ว. 250” เสียงแล้ว ก็อาจเป็น “นายกรัฐมนตรี” ได้

แต่ประเด็นก็คือ ส.ว.กลุ่มนี้ จะมีอิทธิพลทางความคิดกับเพื่อนส.ว.ทั้งหมดแค่ไหน ในกลุ่มมีกี่คน? เป็นอีกเรื่องที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิดเช่นกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น