ไม่ใช่คนใหม่ที่ไหน! “จตุพร” เตือน “อุ๊งอิ๊ง” ตั้ง “เศรษฐา” เป็นที่ปรึกษา ระวังเจ๊งเหมือน “ยิ่งลักษณ์” ระบุ เคยนั่ง “กุนซือใหญ่” 1 ใน 3 รวม “ทักษิณ-ประยุทธ์” ชี้ “เพื่อไทย” ถ้าอยากเป็นรัฐบาลต้องจับมือ “ประวิตร” เข้าทางเกมสำรอง “3 ป.”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(3 มี.ค.66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "เปิดตัวจริงหรือ?" โดยกล่าวถึงการเปิดตัวของ นายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศ ถูกแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย แต่แบ่งรับแบ่งสู้กับงานการเมืองในอนาคตจะเป็น “แคนดิเดตนายกฯ” เพื่อไทยหรือไม่ พร้อมตำหนิไม่กล้าแสดงภาวะผู้นำตอบโต้ข้อกล่าวหาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายจตุพร กล่าวว่า กรณีของนายเศรษฐา เปิดตัวก็ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ ตรวจสอบเข้มข้น ซึ่งไม่ยกเว้นกระทั่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จาก พลังประชารัฐ (พปชร.) นายอนุทิน ชาญวีระกูล จากภูมิใจไทย และ พล.อ.ประยุทธ์ จากรวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็ต้องตรวจสอบภาวะผู้นำที่จะนำพาความหวังประชาชนเช่นกัน และความเป็นผู้นำต้องอดทนในการชี้แจง
อย่างไรก็ตาม เมื่อนายเศรษฐา เปิดตัว ถูก พล.อ.ประยุทธ์ วิจารณ์หนักในด้านความเก่ง ทำอะไรมา กลับไม่ตอบให้ตรงและชัดเจนเพื่อแสดงถึงภาวะผู้นำ แต่ไปยกย่องให้ พล.อ.ประยุทธ์ มีวุฒิภาวะที่เหนือกว่า แล้วหลีกเลี่ยงข้อครหาอันเป็นสาระสำคัญที่ว่า เศรษฐกิจประเทศไม่ใช่ธุรกิจของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง
สิ่งน่าสนใจ นายจตุพร เห็นว่า เมื่อนายเศรษฐา ถูกคาดหมายจะมาเป็นผู้นำประเทศ ก็ต้องตอบข้อครหาเชิงกล่าวหาของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่มาแสดงมารยาททางสังคมต้องเชื่อฟังคนแก่กว่า ซึ่งประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรกับความคาดหวังในภาวะผู้นำของประเทศเช่นนี้
"นายเศรษฐา ไม่ได้เป็นคนใหม่เลย สมัยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทางการ แต่ก็เป็นที่ปรึกษาที่ไม่เป็นทางการคนหนึ่งในจำนวนสามคน รวมถึงทักษิณและ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย จนนำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่สำคัญตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ และ รมต.สาธารณสุข ก็เป็นคนของนายเศรษฐา ซึ่งทั้งสองจุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพินาศย่อยยับของรัฐบาลยิ่งลักษณ์”
รวมทั้ง ย้ำว่า เมื่อเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนมีส่วนให้เกิดความล่มสลายแล้ว ความสำเร็จในฐานะที่ปรึกษา จึงยากจะนำมากล่าวอ้างได้ แต่เมื่อได้เป็นที่ปรึกษาของหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย หรือเป็นที่ปรึกษาอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร จึงส่อแนวโน้มเจ๊งไม่แตกต่างกันกับเหมือนเป็นที่ปรึกษาของยิ่งลักษณ์
นอกจากนี้ นายจตุพร สงสัยในช่วงขณะทำธุรกิจว่า มีพฤติกรรมที่ขาดธรรมาภิบาลในหลายธุรกรรมหรือไม่ ซึ่งต้องได้รับการพิสูจน์ข้อกล่าวหา และเมื่อมีการเปรียบเทียบธุรกิจครอบครัวกับเศรษฐกิจประเทศแล้ว นายเศรษฐา ต้องตอบ และโชว์วิสัยทัศน์ผู้นำที่โดดเด่นของที่ปรึกษาออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ชัด
"นายเศรษฐา จะมาอย่างไร ผมไม่รู้ แต่ทั้งหมดต้องได้รับการตรวจสอบจากขบวนการประชาชนทุกอย่าง แม้จะเข้ามาทางการเมืองเต็มตัวหรือไม่ก็ตาม แต่คนอยู่ในพรรคนั่งหัวดำหัวขาวไม่ถามเป็นใครละ คุณมาจากไหนเอาแต่ความสะอาด เอาแต่ดีหรือ? ส่วนคนอื่นมีความเดือดร้อนสารพัด เพราะนี่เป็นการเดิมพัน ไม่ใช่เอาดี หรือไม่ดีก็ไม่เอา นี่บ้านเมืองและประเทศไทย"
อีกทั้งกล่าวถึง พล.อ.ประยุทธ์ ว่า เมื่อมีการตรวจสอบหมู่บ้านหรูบางกอก บูเลอวาร์ด ซอยลาซาล ก็ต้องตรวจนายเศรษฐาและทุกหมู่บ้านที่เข้าข่ายขายบ้านเป็นนอมินีให้ต่างชาติเช่นกัน รวมถึงการตรวจสอบในตลาดหลักทรัพย์ด้วย อย่างไรก็ตาม คนที่มีหน้าที่ในบ้านเมืองแล้วไม่ตรวจสอบย่อมทำให้ประเทศเสียหายและเลวไม่ต่างกัน หรือแค่พูดเพื่อใช้ในการหาเสียง หลังจากนั้นก็ดีกัน ใครเป็นรัฐบาลก็เอื้อต่อกันอีกเช่นเดิม
ส่วนนักการเมืองเพื่อไทย นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าเป็นคนการเมืองที่ต่อสู้มาแล้ว จะต้องถามว่าเอาใครมา ต้องพูดความจริงกัน ไม่ใช่มานั่งชื่นชมความสำเร็จในการขายหมู่บ้าน แต่นี่เป็นประเทศ ซึ่งตนไม่ได้เข้าข้าง พล.อ.ประยุทธ์ เพราะทำให้ประเทศฉิบหายอีกแบบหนึ่งเช่นกัน
"สิ่งที่พูดวันนี้ จะบอกว่าบ้านเมืองไม่ใช่ของทดลองของใครคนใดคนหนึ่ง และไม่ใช่ว่าเจ้าของพรรคจะพึงพอใจใครคนใดคนหนึ่ง ประเทศนี้จะอยู่อย่างไร มีนายกรัฐมนตรีเพื่อจะมีนายกรัฐมนโทหรือ? มันซ่อนอำนาจกันตลอดเวลา แล้วสุดท้ายคืออะไร ดังนั้น จึงต้องการให้ได้คนที่มีศักยภาพ เพราะคนเก่งในบางวงการกับการบริหารประเทศคนละเรื่องกัน"
นายจตุพร ย้ำว่า การถนัดในด้านธุรกิจแต่ละเรื่องกับการบริหารประเทศจึงต้องผ่านการพิสูจน์ ต้องไม่ติดกับดักสิ่งที่พูดถึงแต่คนดี คนเก่งไม่โกง หรือเก่งแต่โกง ดีแต่โง่ และโง่แล้วโกง แล้วบ้านเมืองจะไปกันอย่างไร
พร้อม กล่าวว่า ถ้านายเศรษฐา เป็นคนเก่ง หากนำผลงานที่ผ่านการพิสูจน์แล้วมาเรียงให้เป็นที่ประจักษ์ในด้านการช่วยเหลือสังคมและเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ซึ่งอาจจะมีและคงจะทำ แต่ตนไม่เคยได้ยินว่า ได้ทำอะไรเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เพราะสิ่งสำคัญเมื่อจะมาเป็นผู้ปกครองประเทศได้ทำอะไรมาบ้าง ประชาชนจะได้ฝากอนาคตที่มีความหวังกับนายเศรษฐาได้
"ผมต้องวิพากษ์วิจารณ์ เพราะเมือปี 2554 ถึง 2557 มันเกิดกรณีนี้ขึ้นมา แต่เราเป็นสังคมประจบสอพลอ กองเชียร์ต้องสรรเสริญเยินยอเป็นคนเก่ง เป็นมือเศรษฐกิจ เขาให้ไปสู้กับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่กลับยกยอเอาเรื่องวัยวุฒิมาอ้าง แบบเป็นคนแก่กว่าก็ต้องฟัง มันคนละเรื่องของที่ปรึกษาประเทศ"
นายจตุพร กล่าวถึงสถานการณ์การเลือกตั้งว่า สังคมรับรู้กันทั่วไปว่า พล.อ.ประวิตร จับมือกับเพื่อไทย แม้คนจาก พปชร.ออกมาปฏิเสธก็ตาม แต่ความหวังเดียวของ พล.อ.ประวิตรคือเป็นนายกฯ ไม่ใช่รองนายกฯ อย่างไรก็ตาม เพื่อไทยจะแลนด์สไลด์หรือไม่ แต่ถ้าตั้งรัฐบาลได้ก็ต้องจับมือ พล.อ.ประวิตร ดังนั้น เพื่อไทยต้องชัดเจนในคำตอบว่า ไม่ว่าแลนด์สไลด์หรือไม่แลนด์สไลด์จะไม่มีการจับมือกับพล.อ.ประวิตร เด็ดขาด ทุกอย่างก็จบ
อีกกรณีหนึ่ง ประเมินว่า หลังเลือกตั้ง ถ้ารวมเสียงฝ่ายรัฐบาลเดิมตั้งรัฐบาลได้เหมือนการเลือกตั้งปี 2562 พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นนายกฯ ต่อ การให้ พล.อ.ประวิตร และ พปชร.มาเปิดตลาดตั้งรัฐบาลใหม่เพื่อรอเพื่อไทยจะเข้าร่วม จึงเป็นเกมสำรองที่กำหนดไว้กับสถานการณ์ฝ่ายรัฐบาลเดิมได้เสียงไม่พอตั้งรัฐบาล ดังนั้น กรณีนี้ 3 ป.ยังกุมอำนาจ โดยมี พล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ...(จากสยามรัฐออนไลน์)
อย่างไรก็ตาม วันนี้เมื่อเวลา 12.00 น. ที่หอการค้าไทย-จีน เขตสาทร นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และที่ปรึกษาคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ กล่าวถึงกรณีที่ให้สัมภาษณ์โดยระบุว่า จะรับตำแหน่งนายกฯเท่านั้น และจะไม่รับตำแหน่งใดๆทางการเมือง หากไม่ได้เป็นนายกฯ ว่า
มันไม่ใช่ความต้องการ วันนี้ตนเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ซึ่งขั้นตอนจากนี้ต้องมีการได้รับเลือกเป็นแคนดิเดตนายกฯ และเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ย้ำว่าพรรคเพื่อไทยส่งแคนดิเดตครบ 3 รายชื่อ ซึ่งคณะกรรมการบริหารพรรคจะต้องเลือกว่าใครจะได้รับความไว้วางใจตรงนี้
เมื่อถามย้ำว่า ถ้าไม่ใช่ตำแหน่งนายกฯ ก็ไม่เอา ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ก็คือไม่เอา แต่ก็อาจจะไปให้คำแนะนำอยู่ข้างหลัง หรือยังเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยอยู่ต่อก็ได้ ผมก็ยังเป็นสมาชิกเพื่อไทยอยู่ ทำงานให้คำแนะนำด้านเศรษฐกิจ โดยไม่มีตำแหน่งก็ได้ ตรงนี้ก็สามารถทำได้”
เมื่อถามอีกว่า การที่สื่อสารออกไปตีความว่า เราต้องเป็นนายกฯ เท่านั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า ในฐานะที่เราเป็นคนไทยคนหนึ่ง เราก็สามารถทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองได้เหมือนกัน ถ้าเกิดมีตำแหน่ง ถ้าต้องขับเคลื่อนอะไรจริงๆแล้ว ตำแหน่งนายกฯ เป็นตำแหน่งที่มีอำนาจ ก็สามารถทำได้จริง
ถามอีกว่า ถ้าไม่ได้ตำแหน่งนายกฯ แสดงว่าตำแหน่งอื่นๆอย่าง รองนายกฯด้านเศรษฐกิจ ก็ไม่เอาใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ไม่เอาครับ”
เมื่อถามย้ำว่า ต้องเป็นตำแหน่งนายกฯเท่านั้น ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยก็ได้ เป็นที่ปรึกษาที่ไม่ต้องมีตำแหน่งทางการกับใครในพรรคเพื่อไทย ซึ่งเราก็ยังเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยอยู่ ก็ยังสามารถทำได้
เมื่อถามว่า เท่ากับว่าตำแหน่งนายกฯจะมีอำนาจ ทำทุกอย่างได้ง่ายขึ้นใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า มันต้องมีภาคส่วนที่เข้ามาตรวจกัน มีระบบรัฐสภา และมีอะไรหลายๆอย่าง ตนไม่ได้อยากจะให้เข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องของการเบ็ดเสร็จในเรื่องของอำนาจ มันไม่ใช่
ถามว่า จะเป็นการกดดันพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ว่าจะต้องเลือกนายเศรษฐาเป็นนายกฯเท่านั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่มี เรารู้จักกันมานาน เรารู้ตัวตนของตัวเองมานาน เรื่องของการกดดันหรือ เรื่องของการอ้อมค้อมไม่มีแน่นอน ไม่ใช่เป็นนิสัยของตนเองอยู่แล้ว ซึ่งผู้ใหญ่ในพรรคก็รู้ดีว่า ตนเองเป็นคนอย่างไร ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่มีแน่นอน
ถามอีกว่า การดีลเข้ามาในพรรคเพื่อไทยเป็นการดีลในตำแหน่งเดียวนายกฯ ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่ได้ดีลแบบนั้น แต่ดีลเข้ามาอย่างเดียวคือน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ชวนมาทำงาน ชวนเข้ามาช่วยให้คำปรึกษา ซึ่งตนก็น้อมรับด้วยความเต็มใจ และรู้สึกเป็นเกียรติ
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ คำเตือนของ “จตุพร” เกี่ยวกับ นายเศรษฐา ทวีสิน ว่าไม่ใช่คนหน้าใหม่ทางการเมืองแต่อย่างใด เพราะเคยเป็นที่ปรึกษาอยู่เบื้องหลังให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งยังเป็น หนึ่งในสาม “กุนซือใหญ่” นอกจาก “ทักษิณ” และ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย
ดังนั้น การบริหารประเทศ “ล้มเหลว” ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ต้องถือว่า มีส่วนให้คำปรึกษาด้วยหรือไม่?
นอกจากนี้ สิ่งที่ “เศรษฐา” จะต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น เมื่ออาสาเข้ามาทำงานการเมือง ก็คือ เส้นทางการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา “โปร่งใส” หรือไม่ แค่ไหน?
โดยเฉพาะที่ถูกตั้งข้อสงสัยจาก “จตุพร” กรณีขายบ้านให้ “นอมินี(ตัวแทน)” ให้ต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มทุนจีนสีเทา มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่
นี่คือ สิ่งที่ “จตุพร” พยายามจะบอกเล่ามาตลอด 3 ตอนที่เฟซบุ๊กไลฟ์ ประเทศไทยต้องมาก่อน