xs
xsm
sm
md
lg

หลังปีใหม่เดือด บิ๊กตู่เร่งสปีดเต็มสูบ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา - พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
เมืองไทย 360 องศา

สำหรับในการเมืองในขั้ว “สามป.” ล่าสุดจะเหลือตัดยอดแค่ “สองป.” เท่านั้น นั่นคือ เหลือแค่ ป.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ ป.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส่วน “ป.ป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ตัดช่องน้อย “ชิ่งหนี” ออกนอกเส้นทางไปแล้ว

โดยล่าสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงทิศทางทางการเมืองหลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความชัดเจนเรื่องการทำงานการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติไปแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ขออนุญาตไม่ตอบ เพราะเป็นการสอบถามเรื่องคนอื่น

ถามว่า นายกรัฐมนตรีได้มีการชวนไปทำการเมืองด้วยหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ ตอบว่า ยังไม่มี ส่วนหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจทำการเมือง ตนเคยกล่าวในการประชุมว่า ตนประเมินตัวเองว่าเราเหมาะสมที่จะต้องไปทำหรือไม่

“ผมก็ประเมินตัวเอง ว่าเราเหมาะสมที่จะต้องไปทำไหม ก็ต้องพิจารณา อายุก็เยอะแล้ว และมีคนที่มีความสามารถที่มีความตั้งใจ อายุน้อยก็มีเยอะ” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

เมื่อถามย้ำว่าจะมีการประเมินอีกครั้งหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนน่าจะพิจารณาตัวเองแล้ว ไม่น่าเหมาะสม

ส่วนที่ว่า หากนายกรัฐมนตรีมาชวน จะทำการเมืองต่อหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ ถามกลับว่า “ใคร นายกฯคนไหน มีตั้งเยอะแยะ รวมไทยฯ ผมไม่ไปอยู่แล้ว ในอนาคต นายกฯไหนผมก็ไม่ทราบ”

ก็ถือว่าน่าจะชัดเจนไปหนึ่ง ป. ป๊อก สำหรับพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่จะไม่ไปต่อ ซึ่งจะว่าไป รายนี้หากพิจารณากันแบบตรงๆ ก็ต้องบอกว่าไม่เหมาะกับสถานการณ์การเมืองจริงๆ อาจเป็นเพราะบุคลิกที่ยังเป็นแบบข้าราชการทหารเดิมๆ ไม่ใช่บุคลิกนักการเมือง ยังเข้าถึงยาก ไม่ค่อยมีการปฏิสัมพันธ์กับพวกส.ส.และนักการเมือง มันก็จะทำให้เขาโดดเดี่ยวจะมีปัญหาในเส้นทางข้างหน้าแน่นอน เพราะเชื่อว่าจะหนักหน่วงกว่านี้หลายเท่า ซึ่งก็ถือว่าอย่างน้อยเขาก็เข้าใจตัวเองดีว่า “ไม่เหมาะ” จึงขอยุติเส้นทางเอาไว้แค่นี้

ดังนั้น ในเส้นทางการเมืองข้างหน้าก็จะเหลือแค่ “สองป.” ดังกล่าว แต่นาทีนี้อยากจะโฟกัสไปที่พรรครวมไทยสร้างชาติที่นับจากนี้จะต้องขยับตัวแรงแล้ว หากต้องการไปให้ถึงฝัน ขณะเดียวกันด้วยเวลาอันจำกัดเพียงแค่สองสามเดือนที่เหลือถือว่าเหนื่อยเอาการเหมือนกัน

อีกทั้งด้วยเงื่อนไขด้าน “มารยาท” และข้อผูกมัดทางกฎหมายค้ำคออยู่ บางครั้งทำให้การขยับตัวของ“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังไม่ค่อยคล่องตัวนัก เพราะต้องไม่ลืมว่า เขาได้รับการเสนอชื่อจากพรรคพลังประชารัฐ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่การที่ประกาศว่าจะไปร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ตั้งแต่เนิ่นๆ มันก็กระไรอยู่ ซึ่งก็รวมไปถึงอีกหลายคนที่จะติดตามไปด้วย เนื่องจากพวกเขาก็ยังเป็นส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ เป็นรัฐมนตรีในโควตาของพรรค มันก็จะเป็นลักษณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวจึงไม่ออกมาในลักษณะเอิกเกริก ส่วนใหญ่จึงเป็นลักษณะภายในเสียมากกว่า

อย่างไรก็ดี เมื่อเวลากระชั้นชิดเข้ามามันก็เลี่ยงไม่ได้ต้องเดินหน้าเต็มตัวแล้ว และอย่างที่บอกว่าเอาไว้ว่า “โหมดเดือด” ต้องเกิดขึ้นหลังจากช่วงปีใหม่ไปแล้ว และเป็นไปตาม “สเต็ป” นั่นคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมาสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ หลังปีใหม่ ตามที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคได้ระบุเอาไว้ก่อนหน้านี้ ถึงตอนนั้นน่าจะถือว่าพรรคการเมืองพรรคนี้ จะเริ่มเดินหน้าเต็มกำลังเสียที และในช่วงเดียวกันนั้นก็น่าจะได้เห็นส.ส.และรัฐมนตรีอีกจำนวนหนึ่งยกขบวนตามไปด้วย ซึ่งก็น่าจะได้รู้กันว่ามีใครกันบ้าง บางกลุ่มที่ยัง “แทงกั๊ก” จะตัดสินใจไปทางไหน โดยเฉพาะ “กลุ่มสามมิตร” จะตามไปด้วยหรือไม่ หรือหากไป จะไปทั้งก๊วนหรือแยกกันไป

ที่ต้องย้ำว่าหลังปีใหม่การเมืองจะเริ่มเดือดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในเรื่องพรรคการเมืองที่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด โดยเฉพาะพรรครวมไทยสร้างชาติ ในช่วงเวลานั้น ต้องมีความชัดเจนว่าจะมีใคร “ไหลตาม” เข้ามาบ้าง เพราะมันถึงเวลาที่ต้องวางตัวบุคคลสำหรับลงเลือกตั้ง เคลียร์ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนให้จบ รวมไปถึงการเปิดนโยบายทีมงานสารพัด ภายในเดือนมกราคมต้องจบแล้ว

ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากเป้าหมายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็คือต้องกลับมาเป็น “นายกฯ” อีกรอบในโควตาที่เหลืออีกสองปี มันถึงบอกว่ามี“เดิมพันสูง” หากเป็นเกมก็ต้องชนะเท่านั้น เมื่อทุกอย่างบีบคั้นอย่างนี้ บางครั้งมันถึงบังคับให้ “ต้องโหด” ไม่เกรงใจใครกันแล้ว

เพราะอย่างที่รู้กันว่าการเมืองแบ่งเป็น “สองขั้ว” และยังแข่งขันในเรื่องของ“จำนวน” ซึ่งหากพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้ว ถือว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ และ “บิ๊กตู่” ที่เพิ่งขยับตัวย่อมเสียเปรียบ โดยเฉพาะกับอีกฟากหนึ่งอย่างพรรคเพื่อไทยของ นายทักษิณ ชินวัตร ขณะเดียวกัน ยังต้องแข่งขันในขั้วเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย หรือแม้กระทั่งพรรคพลังประชารัฐของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพราะหากจะเป็น “พรรคแกนนำ” ก็ต้องมีจำนวนส.ส.เป็นกอบเป็นกำ และเมื่อรวมกับจำนวนส.ว.ที่เวลานี้แยกออกเป็น “สองซีก” ทำให้ยิ่งยากขึ้นไปอีก

หากพิจารณากันตามสถานการณ์แล้วมั่นใจว่า หลังปีใหม่ไปแล้วการขับเคี่ยวระหว่างกันจะต้องดุเดือดเข้มข้นขึ้นหลายเท่า โดยเฉพาะให้จับตาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป จะมีโอกาสยุบสภาได้ตลอดเวลา แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะลากไปจนถึงปลายเดือนมีนาคม แต่รับรองว่าไม่ถึงวันที่ 23 มีนาคม อย่างเด็ดขาด ต้องยุบก่อน เพื่อเปิดทางให้ส.ส.ได้ย้ายพรรคภายใน 30 วัน แน่อน ฟันธง !!


กำลังโหลดความคิดเห็น