เมืองไทย 360 องศา
“พรรคเพื่อไทย” ชูคำขวัญ “แลนด์สไลด์” ย่อมทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องการเปลี่ยนรัฐบาล ไม่ต้องการให้นายกรัฐมนตรี ชื่อ ประยุทธ์ อีกต่อไป แม้พวกเขาอาจเอาใจช่วยพรรคก้าวไกลอยู่ แต่ก็พร้อมที่จะเลือกพรรคเพื่อไทย เพราะเห็นว่า มีความเป็นไปได้มากกว่าที่พรรคเพื่อไทย จะชนะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หากไม่เทคะแนนให้พรรคเพื่อไทย สุดท้ายเราจะไม่ได้เปลี่ยนรัฐบาล ไม่ได้เปลี่ยนนายกรัฐมนตรี”
นั่นเป็นบางข้อความของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการกลุ่มก้าวไกล และ อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่โพสต์ออกมาล่าสุดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม แม้ว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ย่อมต้องพูดถึงเรื่องแนวทางและกลยุทธ์ในการเอาชนะการเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล ที่จะเกิดขึ้นครั้งใหม่ในปี 2566 และเป็นครั้งที่สองที่พรรคก้าวไกล หรืออดีตพรรคอนาคตใหม่ ลงสนาม
แม้ว่าในการโพสต์ยาวเหยียดครั้งนี้ของเขา ส่วนใหญ่จะเป็นการพูดถึงแนวทางการคงอยู่และการเอาชนะการเลือกตั้งของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งใหม่ และคุณสมบัติของผู้สมัคร และ ส.ส.ของพรรคในอนาคตก็ตาม แต่ประเด็นสำคัญ ก็คือ การเลือกตั้งครั้งนี้เป็น “งานยาก” สำหรับพรรค และคาดว่า จะไม่มีอุบัติเหตุการยุบพรรคแบบพรรคไทยรักษาชาติในอดีต แล้วเทเสียงมาที่พรรคก้าวไกลเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับพรรคอนาคตใหม่
ที่สำคัญ การสวมบท “กูรู” ทางวิชาการและในทางการเมืองคราวนี้ ถึงอย่างไรก็ยอมรับเองว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคก้าวไกลจะได้รับเลือกตั้ง ส.ส.รวมกันลดลง ซึ่งนอกจากสาเหตุจากกติกาตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดใหม่เป็น ส.ส.เขตเพิ่มเป็น 400 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็น 100 คน และว่าด้วยการคำนวณสูตร ส.ส.ที่ใช้แบบหารร้อย และอีกสาเหตุหนึ่งก็มาจากพรรคเพื่อไทยนั่นเอง ตามที่เขาระบุว่า เป็นเพราะการชูคำขวัญ “ชนะแบบแลนด์สไลด์” นั่นเอง
ซึ่งสิ่งที่เขายอมรับ ก็คือ ระบบกติกาใหม่ แม้ว่าในระบบ ส.ส.เขต ที่แม้ว่าคะแนนของผู้สมัครของพรรคก้าวไกลจะได้คะแนนทั่วประเทศเป็นกอบเป็นกำแค่ไหน แต่หากไม่ได้ ส.ส. คะแนนที่ได้ทั้งหมดก็จะทิ้งไป ต่างกับระบบสัดส่วนที่ทุกคะแนนมีความหมาย
ดังนั้น หากให้สรุปจากการคาดการณ์ของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ก็มีประเด็นหลักๆ ก็คือ เชื่อว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคก้าวไกลจะได้ ส.ส.ลดลง ซึ่งเป็นผลจากกติกาใหม่ และกลยุทธ์ของพรรคเพื่อไทย ที่ชูในเรื่องการชนะแบบ “แลนด์สไลด์” สำหรับคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ซึ่งจะจริง หรือไม่จริง ถูกต้องแค่ไหน ก็ต้องมาว่ากัน
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากแนวโน้มมันก็เป็นไปได้ไม่น้อยเหมือนกัน แต่เชื่อว่า ลักษณะน่าจะออกมาแบบ “สองทาง” มากกว่าทางเดียวตามที่ นายปิยบุตร คาดการณ์ นั่นคือ ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล หรือไม่ต้องการให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่อีกด้านหนึ่งมันก็มีโอกาสที่ฝ่ายที่ไม่ต้องการให้พรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาล และไม่ต้องการให้ครอบครัว “ชินวัตร” ของนายทักษิณ ชินวัตร กลับมามีอำนาจอีกครั้ง จากบทเรียนเมื่อหลายปีก่อนกลับมาหลอนอีก จึงอาจเทเสียงสนับสนุนพรรคของ “บิ๊กตู่” และพรรคร่วมรัฐบาลในปัจจุบัน ที่น่าจะกลายเป็นพันธมิตรจัดตั้งรัฐบาลในคราวหน้าก็เป็นได้ ลักษณะอาจจะกลายเป็นการ “เลือกแบบยุทธศาสตร์” กันอีกครั้งก็ได้ ในแบบ “ไม่เลือกเราเขามาแน่” อะไรประมาณนั้น
*แต่หากพิจารณากันตามความเป็นจริง มันก็จะเป็นไปได้สูงที่ในที่สุดแล้วจะกลายเป็นการ “ชิงดำ” กันระหว่าง พรรคเพื่อไทย ที่สนับสนุน “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็นแคนดิเดต นายกรัฐมนตรี กับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเชื่อว่า อีกไม่นานภาพจะชัดขึ้นเรื่อยๆ
เวลานี้พรรคเพื่อไทยได้ออกตัวก่อนใคร โดยเริ่มปูพรมติดป้ายโฆษณาหาเสียงชูนโยบายสำคัญ พร้อมกับรูปของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อย่างโดดเด่นเพียงรูปเดียว อย่างน้อยก็ได้เห็นในพื้นที่ทั่วกรุงเทพมหานครกันแล้ว และแน่นอนว่าพรรคเพื่อไทย ต้องการขาย “ทายาทสายตรง” ของนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ที่แม้เป็นถึงหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่กลับยังไม่รู้ว่าจะเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ติดหนึ่งในสามหรือไม่
แน่นอนว่า หากพูดถึง “แลนด์สไลด์” สำหรับพื้นที่ที่มีโอกาสมากที่สุด ก็คือ “ภาคอีสาน” ที่มีจำนวน ส.ส.มากที่สุดที่ในการเลือกตั้ง ปีหน้าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 132 คน แต่โอกาสที่จะชนะแบบกวาดมายกภาค เชื่อว่า มันก็ไม่ง่าย เนื่องจากยังมีคู่แข่งที่เติบโตขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ก็คือ พรรคภูมิใจไทย และอีกหลายพรรค ทั้งพรรคเกิดใหม่ที่มีฐานเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันอย่างพรรคไทยสร้างไทย ของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หรือแม้แต่พรรคก้าวไกล ที่กล่าวถึงในตอนต้นนั่นแหละ หรือแม้แต่พรรครวมไทยสร้างชาติ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่หากจะ “ชิงดำ” ก็ต้องแย่งเก้าอี้ ส.สในภาคอีสานให้ได้มากที่สุดด้วยเช่นกัน ซึ่งมันก็เป็นไปได้ หากมีการชู พล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็น “ลูกอีสาน” คนหนึ่งเหมือนกัน อีกทั้งยังไม่นับพรรคพลังประชารัฐ ที่มี ส.ส.บ้านใหญ่ในบางจังหวัด ที่ยังเหนียวแน่นอยู่ต่อไป
นั่นคือ ยุทธศาสตร์ภาคอีสานที่หากพรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์ ก็ต้องกวาดมาแทบทั้งหมด ซึ่งเมื่อพิจารณาจากบรรยากาศและคู่แข่งในตอนนี้กับในยุคก่อน ไม่ว่าจะเป็นยุคของนายทักษิณ ชินวัตร และยุคของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทุกอย่างต่างกันลิบลับ ที่สำคัญมันอยู่ที่ “กระแส” ที่จะกลายเป็นองค์ประกอบหลักอีกอย่างหนึ่ง
แต่เมื่อพิจารณารอบด้านแล้ว มันยังปังไม่เต็มร้อย แม้จะบอกว่า นโยบาย 10 ข้อ ที่เพิ่งประกาศออกมาอาจจะทำให้คนจำนวนมากชื่นชอบ แต่หากพิจารณาถึงความเป็นไปได้มันก็ทำให้หลายคนต้องคิดหนัก ขณะเดียวกัน เมื่อภาคอีสานที่หลายคนฟันธงตรงกันว่า ไม่มีทางแลนด์สไลด์ ขณะที่ภาคอื่นก็ไม่ต้องพูดถึง เช่น ภาคใต้ หรือแม้แต่กรุงเทพมหานคร ส่วนภาคเหนือตอนบน ก็อาจจะมาได้อีก แต่สำหรับภาคเหนือตอนล่าง ถือว่าไม่ได้ผูกขาดมานานแล้ว
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากแนวโน้มและความเป็นไปได้มากที่สุดก็น่าจะเป็นในแบบการ “ชิงดำ” กันระหว่าง “อุ๊งอิ๊ง” จากพรรคเพื่อไทย กับ “บิ๊กตู่” จากพรรครวมไทยสร้างชาติ แม้ว่าอาจจะมีความคลาดเคลื่อนไปบ้างที่มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย ที่มาแรง แต่หากพิจารณาจาก “พลัง” ทั้งแบบมองเห็น และมองไม่เห็น เบื้องต้นน่าจะมองที่สองคนแรกไปก่อน ก่อนที่ปี่กลองจะเชิดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า!!