xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” เทหมดหน้าตัก "รวมไทยสร้างชาติ" ต้องเกินร้อย !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา
ถือว่าชัดเจนแจ่มแจ้งกันไปแล้ว สำหรับเส้นทางการเมืองข้างหน้าของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า ต้องการไปต่อกับพรรครวมไทยสร้างชาติ และครั้งนี้จะมาในมาดใหม่ นั่นคือ จะสมัครเป็น “สมาชิกพรรค” ด้วย รวมไปถึงจะเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ของพรรคเพียงชื่อเดียวอีกด้วย

“ที่ผ่านมา นายกฯ ก็พยายามพิจารณาในเรื่องต่างๆ ด้วยหลักการและเหตุผลต่างๆ มากมายหลายประการ วันนี้ทางพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้เสนอมาแล้วว่ายินดีสนับสนุนนายกฯคือผม ให้เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ผมจึงจำเป็นต้องทำให้เกิดความชัดเจนเกิดขึ้น ไม่เช่นนั้น ก็จะเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันไป ให้เกิดความเสียหายหลายอย่างด้วยกัน ซึ่งผมก็เคยบอกแล้วว่า ในช่วงที่ผ่านมา ผมได้รับการสนับสนุนจากพรรคพลังประชารัฐ แต่วันนี้พรรคพลังประชารัฐ ก็ได้มีการตกลงใจที่จะเสนอชื่อหัวหน้าพรรค คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงได้ตัดสินใจวันนี้แล้วกัน ซึ่งความจริงก็ได้เตรียมการมาพอสมควรแล้วว่าจะไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็จะได้สบายใจกัน และก็สุดแล้วแต่ประชาชนก็แล้วกันว่าจะให้การสนับสนุนหรือไม่ อย่างไร สิ่งที่ผมต้องตัดสินใจแบบนี้เพราะว่าสิ่งหลายๆ อย่างที่ผมได้ทำไว้มาอย่างต่อเนื่องหลายปี ที่ผ่านมานั้นก็น่าจะได้มีการสานต่อ ถ้าหากว่าผมสามารถอยู่ได้ในระยะเวลาตามที่กำหนด ในระหว่างนั้นก็จะได้สานต่อในสิ่งที่ยังค้างคา ยังไม่สำเร็จ และยังมีปัญหาอยู่เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น” นายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้ง 4 ปีแรก และ 4 ปีหลัง ก็ทำมาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ระยะแรกจะเป็นรัฐบาลไม่ปกติก็ตาม ในการเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีการเสนอชื่อก็เป็นวาระที่สอง ที่ผ่านมา นายกฯเป็นผู้ที่กำหนดนโยบายและดูแลทุกพื้นที่ ซึ่งในความเป็นจริงก็ดูแลทุกพรรค จะเห็นได้ว่า แผนงานโครงการต่างๆ ลงไปทุกจังหวัดไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นของใคร และหลายจังหวัดที่นายกฯ ลงพื้นที่ไปก็ไม่ได้มี ส.ส.ของฝ่ายรัฐบาล คือ พรรคพลังประชารัฐ ที่สนับสนุนตนเอง แต่ก็พร้อมลงไป อย่างวันก่อนที่ไปจังหวัดเชียงราย ก็ไม่ได้มี ส.ส.ของรัฐบาลสักคน แต่ตนก็ไปให้เพราะตนมองประชาชนเป็นหลัก ขณะเดียวกัน ส.ส.ทุกคน ต้องถือว่าเป็นตัวแทนของราษฎรที่คัดเลือกเข้ามา อะไรที่ตนทำให้ได้ อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ก็นำเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม. จัดสรรงบประมาณลงไปให้ แต่ทุกอย่างต้องทำอย่างโปร่งใสและเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เป็นสิ่งที่ตนยึดมั่นมาโดยตลอดและไม่เคยคิดแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น “ผมยืนยันว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดแสวงหาผลประโยชน์แม้แต่เพียงเล็กน้อย”

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการปรึกษาในเรื่องดังกล่าวกับ พล.อ.ประวิตร หรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เรื่องนี้ได้กราบเรียนท่านไปนานแล้ว ว่า ผมอาจจะมีความจำเป็นบางอย่าง ก็กราบเรียนกับท่านไปหลายครั้งแล้ว จนครั้งสุดท้ายได้ตัดสินใจไปแล้วและคุยกับท่านแล้ว ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่มีความขัดแย้งอะไรกันทั้งสิ้น อันนี้เป็นเรื่องของการเมืองก็ว่ากันไปตามการเมืองตามระบบประชาธิปไตยก็ว่ากันไป”

เมื่อถามว่า จะต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็น่าจะต้องคงสมัคร ส่วนจะสมัครได้เป็นทางการเมื่อไหร่นั้น อย่าเพิ่งถาม

ถามว่า ถึงวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงเป็นแคนดิเดตเพียงคนเดียวที่พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอ ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ตอนนี้ก็เห็นว่ายังมีคนเดียว แต่อย่าพึ่งไปถามอะไรล่วงหน้าเลย อย่าถามนี่ไปนั่น ไปโน่น ไปเรื่อย แล้วจะตอบได้อย่างไรเล่า

แน่นอนว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศท่าทีชัดเจนว่าจะเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งจะว่าไปแล้วบรรดาคอการเมืองก็ย่อมทราบดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอยากฟังจากปากให้ชัดๆ เท่านั้น ซึ่งก็ทำให้บรรยากาศในพรรครวมไทยสร้างชาติคึกคักขึ้นมาทันที

บรรดา ส.ส.และนักการเมืองหลายคนที่เคยมีรายงานว่าจะมาร่วมกับพรรคดังกล่าว ก็ประกาศตัวชัดเจนตามมาทันที ขณะที่ผู้บริหารพรรค เช่น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายรัฐมนตรี หัวหน้าพรรค ก็มีการประชุมหารือกันที่พรรคบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก และในวันที่ 28 ธันวาคม ก็นัดหมายแกนนำเพื่อกำหนดการวางตัวผู้สมัคร ร่างนโยบายพรรค ตามมาทันที รวมไปถึงตั้งเป้าหมาย ส.ส.ว่าต้องเกินร้อยอะไรประมาณนั้น

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ไม่มีปัญหาในเรื่องการจัดสรรผู้สมัครของพรรคหลังจากที่มีแนวโน้มมีคนเข้าร่วมมากว่า ปกติพรรคตั้งใหม่สิ่งที่น่ากลัว คือ คนไม่มา มาเยอะไม่เป็นไร มีวิธีจัดการให้ทุกคนมีบทบาทในพื้นที่ได้แน่นอน มามากขนาดไหนรับได้แน่นอน และที่ผ่านมามีการพูดคุยกับ ส.ส.บิ๊กเนม แต่ละพื้นที่มาจำนวนหนึ่งอยู่แล้ว เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ชัดเจนจะมีคนไหลเข้ามาจำนวนหนึ่ง และตามข่าวที่มีการพูดกันว่าจะมี ส.ส.เข้ามาร่วมประมาณ 40 คน ซึ่งคิดว่าไม่ได้คลาดเคลื่อนมาก แต่อาจจะมากขึ้นก็ได้

อีกทั้งยังมีบิ๊กเนม ที่ไม่ได้เป็น ส.ส. เช่น นายก อบจ. หรือนักการเมืองท้องถิ่นที่มีแสงในตัวในจังหวัดต่างๆ ซึ่งมีโอกาสดีกว่า ส.ส.ปัจจุบันเสียอีก ซึ่งจำนวนมีเกิน 100 คน ขณะนี้เรามีผู้สมัครที่สู้ได้ในทุกภาค

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีคนเข้ามาเช่นนี้แล้วได้ประเมินหรือไม่ว่าจะได้ ส.ส.ประมาณเท่าไหร่ นายเอกนัฏ ตอบว่า มีคนเคยถามว่าจะได้ ส.ส.เกิน 25 เสียงหรือไม่ ตนยืนยันว่าเกินแน่นอน เพราะจากผลสำรวจแค่ภาคเดียวก็เกินแล้ว ใจตนหากได้แตะ 100 ก็เป็นเรื่องดี จะเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด จะได้มีกำลังผลักดันสิ่งที่เราบอกประชาชนไว้ และสิ่งสำคัญกว่าการเป็นพรรคใหญ่ คือ มาแล้วต้องทำประโยชน์ให้ประเทศ เป็นสถาบันการเมือง ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจแบบนั้น เราก็ไม่เอา

เมื่อวกกลับมาโฟกัสที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ว่ากันตามโควตายังเหลือมีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรีตามตัวเลขกลมๆได้อีก 2 ปี คือ ถึงปี 2568 แม้ว่ากูรูทางกฎหมายบอกว่า เวลาจริงๆน่าจะร่วม 3 ปีก็ตาม แต่เอาเป็นว่าแค่ไหนก็แค่นั้น ซึ่งตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเอาไว้ ก็คือ “อยากสานงานต่อ”

ที่ทำเอาไว้คั่งค้าง แต่ขณะเดียวกัน ด้วยเงื่อนไขและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ต่างกับปี 2562 แทบจะสิ้นเชิง มันก็ทำให้เขาต้องเปลี่ยนเกมใหม่เช่นเดียวกัน

สิ่งแรกเห็นได้จากการเป็น “สมาชิกพรรค” การเมือง คือ พรรครวมไทยสร้างชาติ ต่างจากครั้งที่แล้วที่เป็นเพียง “แขกรับเชิญ” เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ มีลักษณะ “ลอยตัว” แต่สถานการณ์ในเวลานั้นเขามี “พลังอำนาจ” ในมือมากจากรัฐบาล คสช. ที่เป็นคนกำหนดเกมได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

แต่ในการเลือกตั้งคราวนี้ ทุกอย่างกลับตาลปัตร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องเจอศึกหนักรอบด้าน อย่างแรกก็ต้องมาแข่งขันกับพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะกับ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ถูกเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ เหมือนกัน แม้ว่าลักษณะอาจจะไม่ใช่ “แตกแบบต่างขั้ว” แต่ในสนามเลือกตั้ง ก็ต้องแข่งขันกันเพื่อแย่งเก้าอี้ส.ส.มาให้มากที่สุด และเริ่มต้นก็ได้เห็น “พลังดูด” การแยกตัวออกมาจากพรรคพลังประชารัฐเป็นหลัก

ทั้งนี้ ก็เพื่อสร้างอำนาจต่อรองในการเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นอันดับแรก หากพรรคตัวเองได้เสียง ส.ส.มากกว่าก็ย่อมได้เปรียบ นั่นคือ ด่านสำคัญ ดังนั้น การที่จะทำให้ชนะเลือกตั้งหรือได้ ส.ส.จำนวนมากดังกล่าวมันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ “บิ๊กตู่” ต้องกระโดดลงมาเต็มตัว ในลักษณะของ “นักการเมือง” และคราวนี้จะได้เห็นเขาเดินนำหาเสียง ขึ้นเวทีปราศรัยไปทั่วประเทศ

แน่นอนว่า การเคลื่อนไหวแบบนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เหมือนกับการ “ทุ่มหมดหน้าตัก” และหากจะบอกว่า นี่คือ “สงครามครั้งสุดท้าย” ของเขาอย่างแท้จริงก็ย่อมได้ และเป้าหมายก็คือ ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีสถานเดียว ดังนั้น ก็เชื่อว่า ต้องทำทุกทางเพื่อไปสู่เป้าหมาย อย่างแรกก็ต้องดึง ส.ส.และนักการเมืองระดับ “บิ๊กเนม” เข้ามาร่วมพรรคให้ได้มากที่สุดเพื่อเป็นหลักประกันขั้นต้นเอาไว้ก่อน เป้าหมายก็ต้อง“หลักร้อย”

ดังนั้น หากให้สรุปสถานการณ์ล่วงหน้าสำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา งานนี้ต้องเทหมดหน้าตัก ทำทุกทางทั้ง “ดูด” ทั้ง “ดึง” พร้อมกับสร้างกระแสในช่วงเวลาที่เหลืออยู่เพื่อเอาชนะเลือกตั้ง อย่างน้อยต้องทำให้ได้หลักร้อย หากแค่หลักสิบก็คงจบเห่ไปไม่ถึงฝันแน่นอน !!


กำลังโหลดความคิดเห็น