“รุนแรง” ขยายปม! “เพจดัง” โต้ อ.ธรรมศาสตร์ อ้าง “พี่ศรี” ตัดอนาคต ชี้ ถูกร้องเพราะทำผิด ม.117 “รศ.ดร.ษัษฐรัมย์” ซัด ฆ่าคนทั้งเป็น “ฟอร์ด” เย้ย ไม่เท่าพวกตนโดน “พงศ์พรหม” จวก เป็น “พฤติกรรมสีเดียวกันหมด”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (19 ต.ค. 65) เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ภาพและข้อเท็จจริง อ.ธรรมศาสตร์ ถูก “พี่ศรี” ร้อง พร้อมข้อความระบุว่า
“ไม่แปลกหรอก ที่ อ. จะโทษนั่นโทษนี่ไปเรื่อย
โทษ กยศ. เป็นปีศาจ ประจานความจน ต้องล้างหนี้ กยศ.
โทษ พี่ศรี ทำ ถูกตัดอนาคต เพราะตัวเองไปปลุกระดมให้หยุดงานทั่วประเทศ
คนอื่นผิดหมดเลย ตัวเองไม่ผิดเลย
ไม่แปลกครับ ไม่แปลก 😂😂😂😂😂
ประมวลกฎหมายอาญา ม.117 ซึ่งอยู่ในหมวดที่เกี่ยวกับความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ซึ่งกฎหมายบัญญัติห้ามไว้ว่า “ผู้ใดยุยงหรือจัดให้เกิดการร่วมกันหยุดงาน การร่วมกันปิดงานงดจ้าง หรือการร่วมกันไม่ยอมค้าขาย หรือติดต่อทางธุรกิจกับบุคคลใดๆ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดิน เพื่อบังคับรัฐบาล หรือเพื่อข่มขู่ประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ขณะที่ เพจเฟซบุ๊ก การเมืองไทย ในกะลา โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า
“ฆ่าคนทั้งเป็น! อาจารย์ มธ. เผย เคยถูก “ศรีสุวรรณ” ร้องไปเรื่อย จนทำลายโอกาส-กระทบอาชีพ
วันที่ 19 ตุลาคม 2565 รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โพสต์ข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ถูก นายวีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล อายุ 62 ปี กลุ่มศักดินาเสื้อแดงต่อต้านเผด็จการ ได้บุกเข้าชกหน้า ระหว่างที่เดินทางไปร้อง โน้ส อุดม แต้พานิช โดยมีรายละเอียดดังนี้
“ในฐานะคนเคยโดนศรีสุวรรณไล่ฟ้องเรื่อยเปื่อย จนส่งผลกระทบต่อชีวิตและอาชีพ
ไม่มีใครติดตามว่า หลังจากศรีสุวรรณยื่นฟ้อง เรื่องนี้เป็นเท็จจริงอย่างไร คนที่ไม่ได้ติดตามหลายคนก็ไม่รู้ เพราะมีแต่ข่าวนี้ลง
ผมถูกแหล่งทุนปฏิเสธ มีการยกเลิกการบรรยายพิเศษ ฯลฯ คนในครอบครัวเกิดความกังวล ต้องคอยรับสายโทรศัพท์ จากการฟ้องเรื่อยเปื่อยที่เลือกคดีโทษสูงแบบไร้มูล เพื่อให้เป็นข่าว ฟ้องคนไปทั่ว
ผมพูดตรงๆ ว่า สิ่งที่ ศรีสุวรรณ ทำกับผมและหลายคน รุนแรงกว่าการโดนต่อยหน้ามาก เป็นความรุนแรงที่มองไม่เห็น แต่บ่อยครั้งมันฆ่าคนทั้งเป็น เหมือนวิทยุยานเกราะช่วง 6 ตุลา เหมือนความเห็นทางการเมืองของทมยันตี และฝ่ายขวาอีกหลายคน พวกนี้ก็อาจไม่เคยฆ่ามดสักตัว แต่ความเห็นของพวกเขาก็นำสู่ความเกลียดชังมากมาย
ผมโกรธและเกลียดเขามาก ทั้งๆ ที่เราไม่เคยรู้จักอะไรกัน หน้าที่การงานไม่เกี่ยวกัน และผมก็ไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองอะไร แต่ก็ยังอุตส่าห์ผูกกรรมต่อกัน
แต่ช่วงต้นปี ผมได้ยินข่าวเขา จึงตัดสินใจให้อภัยเขา เห็นแก่ว่าเขามีลูกเพิ่งเกิดและวันหนึ่งเขาก็จะเข้าใจว่าเรื่องสังคมที่เท่าเทียมและรัฐสวัสดิการที่ผมเรียกร้องสำคัญอย่างไร ที่คนจะมีชีวิตอย่างเท่าเทียม
ทั้งนี้ ผมตระหนักดีว่า การกล่าวว่าให้อภัยเขา ผมพูดด้วย อภิสิทธิ์บางอย่าง เพราะผมมีปากกา มีไมค์ มีพื้นที่ที่สามารถขยายความเห็นของผมเพื่อโต้แย้ง และทำให้เขาเป็นตัวตลกต่อไปได้
เครื่องมือแต่ละคนไม่เท่ากัน ภาวะการถูกกดขี่ของคนไม่เท่ากัน ผมเอาศีลธรรมที่ตัวเองเชื่อยึดถือไปบอกว่าให้แต่ละคนยักไหล่กับศรีสุวรรณก็ไม่ได้เช่นกัน
เรื่องนี้จึงตามแต่ละคนจะสะดวก จะถอดบทเรียน หรือปฏิรูปนิยามของคำว่าสันติวิธีก็ทำไปพร้อมกันได้ จะเน้นความถูกต้องทางการเมือง ก็ให้พูดถึงความรุนแรงประเภทที่เรามองไม่เห็นด้วย ทำไปได้พร้อมกัน”
ขณะเดียวกัน นายอานนท์ นำภา นักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าวว่า ...
“สังคมขยับมาอีกขั้น คือ รู้ว่าอะไรคือความรุนแรง และรู้ว่าความรุนแรงมันไม่ใช่เรื่องถูก จนเห็นหลายคนโพสต์ว่า
“ไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง แต่…”
ความน่าสนใจของการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ คือ ทำไมคนจำนวนมากจึงเลือกที่จะตอบรับการใช้ความรุนแรงกับคนอย่างศรีสุวรรณ (และน่าจะอีกหลายคน)
ผมยังคิดไม่ออกเสียทีเดียว แต่คิดว่าเหตุผลหนึ่งที่คนตอบรับการใช้ความรุนแรงกับศรีสุวรรณ คือ
“สันติวิธีไม่สามารถทำอะไรคนแบบนี้ได้”
ถูก-ผิด ผมยังคิดไม่ตก แต่ความน่ากลัว คือ คนอย่างศรีสุวรรณที่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือยังมีอีกหลายคน
ในทางกลับกัน ถ้าฝ่ายตรงข้ามจะเลือกใช้ความรุนแรงตอบ เราจะประณามคนเหล่านั้นหรือไม่ อย่างไร
หรือจะใช้หลักความบริสุทธิ์ของคู่กรณี เช่น พวกสมัครใจเข้าวิวาทเอง หรือความกวนตีนเอง ซึ่งถ้าวางความเป็นพวกพ้องลง เราจะได้เห็นอะไรๆ มากขึ้นในใจของตนเอง
เรื่องนี้ยากอยู่ ในฐานะคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ผมต้องพยายามทำความเข้าใจปรากฏการณ์ และในฐานะหนึ่งในแกนๆ ของฝ่ายเรา ผมคงไปพูดว่า ผมเห็นด้วยหรือสะใจแบบเพื่อนๆ ไม่ได้
วันนี้ มาศาลคดีสาดสีใส่ตำรวจที่ราชดำเนิน เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตำรวจตั้งข้อหาว่าม็อบทำร้ายร่างกายตำรวจโดยการสาดสีและเห็นว่าการสาดสีเป็นความรุนแรง
บอกตัวเองให้มีกำลังใจในการทำงาน และบอกตัวเองให้ระมัดระวังมากขึ้น ห้อยหลวงปู่ติดตัวตลอดก่อนออกจากบ้าน, ในสังคมที่กำลังเดินแบบที่เป็นอยู่นี้”
ด้าน เพจ “ฟอร์ด เส้นทางสีแดง” ได้โพสต์ข้อความว่า สิ่งที่ศรีสุวรรณเจอวันนี้เทียบไม่ได้แม้แต่เสี้ยวเดียวกับที่ผม คุณเอกชัย หงส์กังวาน และจ่านิว เจอมา เอกชัยโดนเผารถสองครั้ง ดักตี 6 ครั้ง ผมเจอปิดถนน ตี 6 ต่อ 1 ล่อด้วยคิ้วเย็บแปดเข็ม จ่านิวโดนตีข้างหลังสลบเหมือด แต่นักต่อสู้ประชาธิปไตยไม่เคยโอดครวญ เก็บตัวรักษาบาดแผล หายแล้วออกมาสู้ใหม่ นี่คือวิสัยเสือ อย่าทำตัวเหมือนหมาเจ็บแล้วร้องโอดครวญ ออกรายการขู่จะฟ้องคนช่วยบริจาค หากยังร้องไม่เลิก ผมเป็นห่วงสุขภาพนะครับ เพราะของแบบนี้มันจะแรงขึ้นเรื่อยๆ
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองโฆษกพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์เฟซบุ๊ก Pongprom Yamarat ระบุว่า
“มีผู้ชายคนนึงไปบุลลี่ผู้บริหารรัฐบาล (ที่อาจไม่ได้เก่งนัก แต่ไม่ควรถูกบุลลี่อยู่ดี)
การไปบุลลี่ ก็ใช้การเปรียบเทียบว่าอาชีพ รปภ.นั้นกระจอก
ก็กลายเป็น รปภ.ทั่วประเทศโดนป้ายหน้าให้เป็นสัญลักษณ์ของความโง่
1 ประโยค เหยียดคนได้ถึง 2 กลุ่ม นับแสนคน
ต่อมา มีนักกฎหมายหมั่นไส้ ก็เลยจะไปหาเรื่องฟ้อง
ก็เหมือนนักการเมืองโง่ๆ ในไทยทั้งรัฐบาล และฝ่ายค้าน ที่ชอบจับผิดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อหาทางยุบพรรค แทนที่จะซัดกันด้วยคุณภาพของนโยบาย และผล
จากนั้น นักกฎหมายก็โดน Converse ถีบเข้าให้
แถมมีประชาชนเป็นแสนๆ คน บอกว่าสะใจดี
โดยประชาชนแสนๆ คนนี้ ลืมไปว่าเมื่อหลายเดือนก่อนยังดัดจริตบอกว่า การที่ Will Smith ตบหน้า Chris Rock เป็นสิ่งไม่ดีอยู่เลย
ไม่ว่าคุณจะเป็นสีไหน
พฤติกรรมพวกคุณมันสีเดียวกันหมดละครับ”
แน่นอน, ดูเหมือนไม่มีใครเห็นด้วยกับความรุนแรง แต่ก็มีบางส่วนสะใจ บางส่วนเห็นใจ ซึ่งขึ้นอยู่กับ เหตุผลของแต่ละคน
เหตุผลสำคัญที่หลายคนสะใจ ก็เพราะอยู่ฝ่ายที่ “พี่ศรี” สุวรรณ เคยร้องเรียน ให้มีการตรวจสอบ หรือ เอาผิด เมื่อมีการกระทำที่ส่อว่าจะเป็นการทำผิด หรือเข้าข่ายทำผิดกฎหมาย ซึ่งถ้าว่ากันตามจริง ก็มีมูลเหตุอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ “บางเรื่อง” หลายคนไม่เห็นด้วย เพราะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ “พี่ศรี” ก็ทำหน้าที่ “นักร้อง” ได้ทุกงาน เสมอต้นเสมอปลาย จนถูกมองว่า “เยอะ”
ส่วนคนที่เห็นใจ เพราะมองว่า “พี่ศรี” เป็นคนที่โดนทำร้าย และไม่ควรจะมีใครมาทำร้ายใคร เพียงเพราะไม่พอใจกันเอาง่ายๆ เหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อน แบบเอากำลัง เอาความรุนแรงเข้าสู้ ข่มขู่คู่ต่อสู้ทางการเมือง แล้วถ้าไปเจอกับใครที่พร้อมตอบโต้ และไม่มีแค่ หมัด ถีบ แต่เป็น มีด ปืน ระเบิด ที่ตามมาทีหลัง สังคมจะอยู่กันได้อย่างไร
อย่าลืมว่า เราเพิ่งเจอกับ “ความรุนแรง” ของอดีตตำรวจ คลั่ง ฆ่าหมู่เด็กที่ จ.หนองบัวลำภู มาหยกๆ และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สาเหตุที่แท้จริง “แค้นฝังลึก” อะไร ใคร หรือไม่
จึงไม่ใช่เรื่องที่จะมา “สะใจ” แล้วก็มานั่งโศกสลดกับ “โศกนาฏกรรม” ที่อาจเกิดขึ้นอีก ถ้าไม่หยุด “ความรุนแรง” ไม่ว่าเล็กน้อย หรือ แค่สั่งสอน อย่างที่หนุ่มใหญ่วัย 62 กล่าวอ้าง
ที่สำคัญ เหนืออื่นใด สังคมไทยกำลังอยู่ในท่ามกลางความขัดแย้งแตกแยก อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้น การปล่อยให้ความรุนแรงเกิดขึ้นตามอำเภอใจ เย้ยกฎหมาย ใช้กำลังตัดสินปัญหา หรือใช้ความรุนแรง “ปิดปากฝ่ายตรงข้าม” ก็ไม่ต่างกับที่กล่าวหารัฐบาล ว่าใช้กฎหมายปิดปาก
การสนับสนุนส่งเสริม “ความรุนแรง” ที่เกิดขึ้นกับ “ศรีสุวรรณ” ไม่ว่ารูปแบบใด ย่อมถือว่า สนับสนุน “ความรุนแรง” ที่อาจเกิดขึ้นกับสังคมไทย อย่างร้ายแรงกว่าที่คิดก็เป็นได้ ใครจะรู้!?