ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“พี่ศรี” เจ็บตัวไม่เท่าเจ็บใจ อุทาหรณ์นักร้อง กับ “ลุงเสื้อแดง” ตัวตึง กทม.ฝ่ายประชาธิปไตยนิยมรุนแรง
กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลกโซเชียลในชั่วพริบตา กับเหตุไม่คาดฝัน เมื่อมีชายปริศนาแหวกวงล้อมสื่อ ตรงเข้าปล่อยหมัดตรงเข้าใบหน้า ขณะที่ “พี่ศรี” ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กำลังยืนให้สัมภาษณ์ และตามไปประเคนแข้งเข้าใส่ โดยที่นักร้องชื่อดัง พยายามตอบโต้สาวหมัดเข้าแลก สวมวิญญาณ “บัวขาว บัญชาเมฆ” ไอดอลตัวเอง จนเป็นภาพการโรมรันพันตู ชุนมุนชุลเก ที่บรรดาชาวโซเชียลแห่แหนเข้ามาแสดงความเห็นหลากหลายในสื่อโซเชียล เกือบจะทุกแพลตฟอร์ม ส่งผลให้ แฮชแท็ก “#ศรีสุวรรณ” ฮอตฮิตติดลมบนตลอดทั้งวัน มีทั้งฝ่ายสะใจ และฝ่ายเห็นใจนักร้อง
พีกในพีกของเหตุการณ์ มาทราบกันภายหลังว่า ชายปริศนาที่ตรงเข้าทำร้าย “พี่ศรี” ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น “วีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล” ชายวัย 62 ที่ฝักใฝ่ “เสื้อแดง” ถือเป็น “ความหวังของหมู่บ้าน” ในหมู่คนเกลียดลุงและพี่ศรี โดยแรงจูงใจที่มาถึงคิวชกพี่ศรี เขาบอกว่า “เกลียด” เพราะ “เมิงร้องได้ทุกเรื่อง” ตั้งใจมาตบเพื่อสั่งสอน เพื่อจะบอกว่าคนเห็นต่างก็มี อย่าเลียจนเกินไป “คำว่าประชาธิปไตยทุกคนต้องยอมรับความเห็นต่าง”
ที่ยกตัวเอง คือ ฝ่ายประชาธิปไตย มีอะไรก็ต้องพูดคุยเจรจากัน แต่พฤติกรรมกลับนิยมความรุนแรง ตรงกันข้ามกับที่พูด สืบไปสืบมา พบว่า เคยก่อวีรกรรมคล้ายๆ กันนี้ บุกเข้าทำร้าย “แรมโบ้ อีสาน” เสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี องครักษ์พิทักษ์ลุงตู่ เมื่อปลายปี 2564 มาแล้ว นั่นเอง
คุ้ยประวัติ “วีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล” ก็ไม่ธรรมดา เป็นคนคุ้นเคยที่กลุ่มคนเสื้อแดง เรียกกันว่า “ลุงศักดิ์” ภายหลังเจ้าตัวทำร้าย “ศรีสุวรรณ” สมใจ ก็ได้กลับบ้านมาไลฟ์สดผ่านช่อง Youtube ของตัวเองชื่อ “ศักดินาเสื้อแดง”
ส่วนตัวของเขาเห็นว่า ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออกเสื้อผ้า แต่ก็ล้มละลายในช่วงโควิดที่ผ่านมา
บ้างก็ว่า ดูจากลีลาวิชาหมัดมวยที่สาวหมัดประเคนแข้งใส่ พี่ศรี น่าจะเคยเป็น “นักมวย” มาก่อนด้วย
แน่นอนว่า ความจริงก็เป็นเช่นที่ลุงเสื้อแดงนั้นว่า “พี่ศรี” ร้องทุกเรื่องจริงๆ ล่าสุด ก็พึ่งจะจับเรื่องร้องกรณี “เดี่ยว 13” ของ “โน้ส” อุดม แต้พานิช ที่เป็นประเด็นดรามา “กูสะดวกแบบนี้ vs กูก็สะดวกร้องเรียนแบบนี้” ระหว่างพี่ศรี และฝ่ายตรงข้ามลุงตู่
จากเหตุการณ์นี้ ส่งให้ “แสงสปอตไลต์” ฉายส่องมาที่พี่ศรี มากขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วชื่อ “ศรีสุวรรณ จรรยา” รู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานะ “นักร้อง” เบอร์ต้นๆ ของประเทศ ไม่ใช่เพิ่งจะมามีชื่อ ความที่เขาจับประเด็นมาร้องดะ ร้องมันแทบทุกเรื่องที่เป็นกระแส และจะได้ “แสง”
ว่ากันว่า หลักการทำงานของ “พี่ศรี” ไม่ซับซ้อน กางหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ที่เป็นข่าวใหญ่ หรือ ไล่ดูดรามาในกระแสโซเชียล จากนั้นก็กางข้อกฎหมาย เขียนประเด็นร้องเรียน กระบวนการทำงานตั้งแต่ต้น จนสามารถพาตัวเองไปยื่นร้องเรียนต่อหน่วยงานต่างๆ ในแต่ละวันใช้เวลาไม่นาน เรียกว่า แต่ละวัน “พี่ศรี” สามารถทำเรื่องร้องเรียนได้เป็นสิบๆ เรื่อง
ถามว่า รายได้ของนักร้องมาจากไหน “พี่ศรี” เคยเปิดเผยไว้ว่า เรื่องร้องเรียนบางเรื่องเมื่อทำสำเร็จ ก็มีคนให้ค่าตอบแทน บริจาคบ้าง อะไรบ้าง ก็ถือว่าพอจะมีทุนรอนทำงาน ขณะที่ผ่านมา เขาทำเรื่องร้องเรียนไปมากแค่ไหน พี่ศรี บอกว่า เวลาเดินเข้าบ้านก็แทบจะแหวกกองเอกสารที่กองสุมเป็นภูเขาอยู่เต็มบ้าน
เพราะฉะนั้น ไม่ต้องประหลาดใจ ขึ้นชื่อว่านักร้อง นี่เป็นอุทาหรณ์สอนใจ นักร้องคนอื่นๆ คือ ย่อมมีทั้งคนเชียร์ และ คนเกลียด
ตามประวัติของ “พี่ศรี” ตัวเขาเองคุ้นเคยกับวิถีชีวิตแบบนี้ ชอบทำกิจกรรมเป็นนักเคลื่อนไหวมาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา เมื่อเรียนจบเขาจึงได้ไปทำงานเป็นเอ็นจีโอ ด้านสิ่งแวดล้อม ช่วยสภาทนายความทำคดีสิ่งแวดล้อม ทำให้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีสิ่งแวดล้อมสำคัญๆ เช่น คดีโรงไฟฟ้าแม่เมาะ คดีสารตะกั่วห้วยคลิตี้
เรียกว่า เป็นนักร้องที่มีประสบการณ์โชกโชน เก๋าเกม เรื่องโดนชกแค่นี้ “ศรีทนได้” ส่วนลุงคู่กรณี ที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย แต่นิยมความรุนแรง เห็นทีจะต้องงานเข้าอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะ “พี่ศรี” บอกว่า จะเอาเรื่องถึงที่สุด
สรุปว่า ที่สุดของเรื่องราววันนี้ คงต้องบอกเหมือนคนส่วนใหญ่ของสังคม คือ ไม่เห็นด้วย และไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงในการอยู่ร่วมกันของสังคมทุกรูปแบบ “การเห็นต่าง” ไม่ควรถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการใช้ความรุนแรงกับอีกฝ่ายหนึ่ง
คราครั้งนี้ นักร้องดังครวญ “เจ็บตัวไม่เท่าเจ็บใจ” ส่วนลุงเสื้อแดง “ตัวตึง กทม.” อีกฝ่ายที่ลงมือรุนแรงจะต้องมารับผลที่กระทำ.. มันก็ควรเป็นเช่นนี้แล
**ทัวร์ลง “หมอชลน่าน” จนต้องเป็น “หมอเกียร์อาร์” หลังออกมาขู่จะยุบพรรคภูมิใจไทย จากนโยบายกัญชา
วันก่อน “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภา ได้พาแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้าน มาแถลงข่าว ว่า จะมีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 เป็นการทิ้งทวนก่อนสภาหมดวาระ ในช่วงหลังการประชุมเอเปก โดยจะถล่มรัฐบาล เรื่องยาเสพติด ภัยแล้ง น้ำท่วม
ก่อนจบ “หมอชลน่าน” มีประเด็นเด็ดที่ทำเอานักข่าวหูผึ่ง คือ บอกว่า เตรียมยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย จากนโยบายกัญชา เพราะเป็นการใช้นโยบายเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัด พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 ที่จะนำไปสู่การยุบพรรคได้ ... ตอนนี้กำลังพิจารณารายละเอียด คาดว่า จะได้ข้อสรุป และยื่นต่อ กกต.ในวันที่ 1 พ.ย.นี้
คล้อยหลังการแถลงข่าว ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอื้ออึง ส่วนใหญ่มองว่า “ครอบครัวเพื่อไทย” ที่ประกาศว่าเลือกตั้งครั้งหน้า จะต้องชนะแบบแลนด์สไลด์ สงสัยจะทำไม่ได้อย่างที่คุย เพราะมี “พรรคภูมิใจไทย” เป็นก้างขวางคอ ก็เลยหาทางยุบพรรคภูมิใจไทย ไปเสียเลย
บ้างก็ว่าเป็นการกลืนน้ำลายตัวเอง เพราะก่อนหน้านี้ ที่พรรคไทยรักไทย ถูกยุบ พรรคพลังประชาชน พรรคไทยรักษาชาติ ถูกยุบ คนพวกนี้บอกว่าถูกรังแก จากอำนาจที่ “ไม่เป็นประชาธิปไตย” แต่เวลานี้กลับจะนำเอาวิธีนี้มาใช้กับคู่ต่อสู้ทางการเมือง
“รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว” อาจารย์จาก ม.บูรพา บอกว่า แค่ได้ยินคำว่า “ยุบพรรค” ก็รู้สึกกังวลใจ เพราะมันจะมีความขัดแย้งใหม่เกิดขึ้นทันที แน่นอนว่า ภูมิใจไทย คือ กำแพงขวางแลนด์สไลด์ แต่มันถึงจุดที่ต้อง “ทำลายล้าง” กันแล้วหรือ... แล้วถ้าอีกฝ่ายยื่นยุบพรรค จากเรื่องคนดูไบ “ครอบงำพรรค” บ้างล่ะ จะเป็นอย่างไร การเมืองไทยก็ก้าวข้ามความขัดแย้ง แตกแยกไม่ได้ นักการเมืองอาจจะสะใจ แล้วประชาชนได้อะไร
...ที่อยากให้คิด ให้คำนึงกันใหม่มาก คือ นโยบายหาเสียง กับการทำนโยบาย... พรรคภูมิใจไทย เขาหาเสียงเรื่องกัญชาถูกกฎหมาย เอามาใช้ทางการแพทย์ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ต้องทำตามนโยบาย แต่เวลาปฏิบัตินั้น เมื่อมีปัญหาขลุกขลัก ก็ต้องแก้กันไป ... ก็เหมือนสมัย “นายกฯ ยิ่งลักษณ์” ที่ทำนโยบายจำนำข้าว มีเจตนาดี อยากให้ชาวนามีเงิน มีโอกาส แต่ตอนปฏิบัติ ก็มีปัญหาเช่นกัน
แล้วทำไม “หมอชลน่าน” พอเห็นการปฏิบัติว่ามีปัญหา แล้วจะเอามาเป็นข้ออ้างยุบพรรคกันเลยหรือ??
หรืออย่าง “ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง” อาจารย์จาก ม.รังสิต ที่เห็นว่า เป็นการจะเอาชนะกันด้วยเกมการเมือง ทั้งที่ตอนทำนโยบาย “พรรคภูมิใจไทย” ก็ได้ให้ กกต. ตรวจสอบก่อนแล้ว ก็ไม่มีเสียงท้วงติงใดๆ จาก กกต. ต่อมาเมื่อเขาผลักดันกฎหมาย ให้กัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจ และถูกกฎหมาย ปลดล็อกออกจากพืชยาเสพติด จนเป็นผลสำเร็จ มีคะแนนนิยม
ทำไมเพื่อไทย ไม่ตรวจสอบบางพรรคเคยหาเสียงจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ วันละ 425 บาทบ้าง อันนี้ยังง่ายกว่า ในแง่ที่จะเข้าข่ายหลอกลวงให้ประชาชน เกิดความเชื่อมั่น แล้วมาลงคะแนนเสียงให้...
ขณะที่ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ส่งสารไปถึง “หมอชลน่าน” ว่าเป็นนักการเมืองด้วยกัน อย่าจ้องทำลายกันด้วยวิธีนี้เลย มาแข่งขันกันด้วยผลงาน แข่งกันทำความดีให้ประชาชนดีกว่าที่จะขุดหาเรื่องเล็ก เรื่องน้อยมาทำลายกัน ...ทำแบบนี้ ถือว่าท่านไม่มีภาวะความเป็นผู้นำ ทั้งที่เป็นถึงหัวหน้าพรรค ...อย่าถอยหลังลงคลอง!!
“หมอหนู” ยืนยันว่า นโยบายกัญชาทางการแพทย์ ที่ใช้หาเสียงนั้น ผ่านการปรู๊ฟจาก กกต. มาแล้ว กระทั่งมาเป็นนโยบายของรัฐบาล และนำไปสู่การปฏิบัติ... ถ้าจะชนะอะไรใคร ต้องชนะด้วยฝีมือ เอาผลงานมาเทียบกันดีกว่า ระหว่างภูมิใจไทย กับ เพื่อไทย ใครทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน เราไม่เอาความขัดแย้ง เทิดทูนสถาบันฯ อยู่ในทำนองคลองธรรมมาโดยตลอด...
“อย่ามาแกล้งกับภูมิใจไทย เราไม่ได้ทำผิดตามที่กล่าวหา อย่ามาเสียเวลาเลย”... “หมอหนู” ทิ้งท้าย
เรื่องยุบพรรคนี้ หากไปเช็กกระแสโซเชียล ก็จะเห็นชัดว่าทัวร์ลงหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แน่นแทบไม่มีที่จอด จน “หมอชลน่าน” ต้องใส่เกียร์ถอย เป็น “หมอเกียร์อาร์” ไปแล้ว