เมืองไทย 360 องศา
กลับลำแทบไม่ทัน สำหรับพรรคเพื่อไทย ที่ล่าสุด นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค ได้รีบออกมาบอกว่าจะยังไม่ยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย จากเรื่องนโยบายกัญชา โดยอ้างว่า ต้องรอพิจารณาจากฝ่ายกฎหมายให้ละเอียดก่อน ว่า เข้าข่ายความผิดหรือไม่ ซึ่งถือว่าเป็นท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปแบบกลับหลังหัน เพราะก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมง เขากับพวกแถลงแบบชัดถ้อยชัดคำว่า ต้อง “ยุบพรรค” ให้ได้
หากย้อนกลับไปพิจารณาจากคำพูดของ นพ.ชลน่าน กล่าวถึงกรณีการเตรียมยื่นยุบพรรคที่เกี่ยวกับนโยบายกัญชา ว่า เบื้องต้นคือ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เพราะการประกาศนโยบายกัญชาเสรีนั้น เข้าข่ายพฤติกรรมที่นำไปสู่การยุบพรรคตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 ในประเด็นการให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศโดยไม่ชอบ เนื่องจากการประกาศนโยบายที่หาเสียงเมื่อตอนปี 2562 เกี่ยวกับนโยบายกัญชา อาทิ การให้ครัวเรือนปลูก และการปลดล็อก ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ ประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งรัฐสภาให้ความเห็นชอบ
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า กรณียุบพรรคที่เกี่ยวข้องซึ่งออกนโยบายที่เป็นปัญหา และเข้าข่ายไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือว่าเป็นการใช้นโยบายพรรคเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางปกครอง ที่เข้าข่ายไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยการยื่นยุบพรรคนั้น จะยื่นให้กับ กกต.ในฐานะองค์กรที่กำกับดูแลพรรคการเมือง ทั้งนี้ การยื่นคำร้องนั้น จะพิจารณาในรายละเอียดให้รอบด้าน ทั้งการนำเสนอนโยบาย การปฏิบัติตามนโยบาย การโฆษณาที่เข้าข่ายหลอกลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการปกครอง ส่วนในรายละเอียดนั้น ฝ่ายกฎหมายของพรรคฝ่ายค้านอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียด และคาดว่า วันที่ 1 พ.ย.นี้ จะทราบความชัดเจน
สำหรับประเด็นการยื่นศาลปกครอง ให้มีคำสั่งคุ้มครอง และมีคำสั่งให้ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ. 2565 ที่มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 65 ที่ทำให้ทุกส่วนของกัญชา กัญชง ไม่เป็นยาเสพติด ยกเว้นสารสกัดที่มีสารทีเอชซีเกิน 0.2% นั้น ออกไม่ชอบตามกฎหมาย เพราะสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนให้กับประชาชนและมีผลกระทบต่อสังคม
นั่นเป็นเหตุผลที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นำมาอ้างสำหรับการเตรียมยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย อย่างไรก็ดี ทุกอย่างกลับเหนือความคาดหมาย เพราะมีเสียงวิจารณ์ในทางลบกลับมาในวงกว้าง เช่น ตัวเองชอบอ้างในเรื่องประชาธิปไตย และคัดค้านในเรื่องการยุบพรรค เนื่องจากเป็นการจำกัดสิทธิของสมาชิกพรรค ขัดต่อหลักการประชาธิปไตยสารพัด แต่มาวันนี้กลับกลืนน้ำลายตัวเอง เพียงเพื่อต้องการสกัดคู่แข่งในสนามเลือกตั้งเท่านั้น
ดังนั้น จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที ทำให้ล่าสุด นพ.ชลน่าน ต้องกลับลำถอยหลังกรูด ทำท่าไม่ยื่นยุบพรรคภูมิใจไทยแล้ว ขณะเดียวกัน ก็อย่าได้แปลกใจที่ต้องโดนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ออกมาให้ความเห็นในเชิงสอนมวยแบบนิ่มๆ แต่สะอึกเหมือนกัน
คำพูดของ นายอนุทิน ที่กล่าวถึง นพ.ชลน่าน มองว่า นักการเมืองด้วยกัน อย่ามาจ้องทำลายอะไรกันเลย ซึ่งไม่ว่าพรรคไหนจะเข้ามาทำหน้าที่ในสภา วันที่ได้ประกาศว่าจะแลนด์สไลด์ ก็จะต้องหมั่นแข่งกันทำความดีให้กับประชาชน นั่นคือ สิ่งที่นักการเมืองควรจะทำ ไม่ใช่มาคุ้ยหาเรื่องเล็กเรื่องน้อย และทำลายกันเอง ไม่มีประโยชน์อะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อย่างว่า ท่านยังคงไม่มีวุฒิภาวะผู้นำ ตอนนี้เป็นหัวหน้าพรรคแล้ว ต้องทำตัวให้เป็นหัวหน้าพรรค
นายอนุทิน กล่าวย้ำว่า ทุกอย่างทำตามกฎหมาย ถ้าทำผิดแล้วคิดว่าจะต้องยุบพรรคก็ต้องยุบ แต่พรรคภูมิใจไทย มั่นใจว่า ไม่ได้ทำผิด ทั้งนี้ ยืนยันว่า พรรคภูมิใจไทยจะไม่ตอบโต้ในเรื่องนี้ เพราะจะเลือกตั้งอยู่แล้ว นโยบายของพรรคได้ส่งให้ กกต. ตรวจสอบก่อนที่จะไปรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2562 อีกทั้งนโยบายเรื่องกัญชาของพรรคภูมิใจไทย ถูกบรรจุอยู่ในการแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งรัฐบาลจะทำงานไม่ได้ ถ้าไม่มีการแถลงนโยบาย ดังนั้น นโยบายกัญชาทางการแพทย์ อยู่ในวาระเร่งด่วนของรัฐบาลชุดนี้ จึงมีความชัดเจนอยู่แล้ว
“หากจะชนะควรชนะด้วยฝีมือการแข่งขัน ทำประโยชน์ให้กับประชาชน ให้ประชาชนตัดสินใจเลือก ไม่ควรที่จะจ้องทำลาย เพราะเราต้องการให้บ้านเมืองสงบสุข แต่มาแต่ละดอก ตีรัน ฟันแทงทั้งนั้น เราไม่สู้ พรรคเราเล็กกว่าอยู่แล้ว แต่เอาฝีมือมาเทียบกันดีกว่า ว่าใครรับใช้ประชาชนได้ดีกว่า และมากกว่า ทำงานให้กับประชาชนและประเทศชาติระหว่างพรรคการเมืองด้วยกัน ซึ่งการจะมายื่นยุบพรรค ขอให้ดูว่าพรรคภูมิใจไทย กับพรรคเพื่อไทย ใครทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทุ่มเททุกอย่างให้กับประชาชน ไม่สนใจเรื่องความขัดแย้ง ต้องการให้ประชาชนมีความสุข พรรคภูมิใจไทยอยู่ในทำนองคลองธรรมนี้มาโดยตลอดไม่เปลี่ยนแปลง” นายอนุทิน กล่าว
เมื่อถามว่า การตำหนิ นพ.ชลน่าน ว่า ไม่มีวุฒิภาวะต้องการให้เปลี่ยนหัวหน้าพรรคหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่ใช่พรรคตน แต่คนเป็นผู้นำต้องมีวุฒิภาวะสูง อันนี้สำคัญมาก
อย่างไรก็ดี หากมองในมุมการเมืองมันก็คงไม่มีอะไรซับซ้อนในเรื่องของการแข่งขัน เพราะอย่างที่รับรู้กันแล้วว่า ทั้งสองพรรคดังกล่าวมีความทับซ้อนกันในพื้นที่ยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน ที่ทั้งคู่ต้องขับเคี่ยวกันอย่างหนักในสนามเลือกตั้งคราวหน้า โดยพรรคเพื่อไทยได้ประกาศและวางเป้าหมายชนะการเลือกตั้งแบบ “แลนด์สไลด์” ซึ่งจะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องกวาดที่นั่งในภาคอีสานให้ได้ แต่เมื่อมีพรรคภูมิใจไทยเป็นอุปสรรคขัดขวาง มันก็เป็นไปได้ที่จะต้องเขี่ยให้พื้นทางไปให้ได้หรือเปล่า
ที่ผ่านมา หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวจะเห็นว่า “คู่กรณี” ในทางการเมือง ระยะหลังจะเห็นพรรคเพื่อไทยกำลังพุ่งเป้าหมายมาที่พรรคภูมิใจไทย เป็นหลัก นอกเหนือจาก “กลุ่มสาม ป.” และพรรคพลังประชารัฐ เพราะการเติบโตของพรรคภูมิใจไทย นั่นก็จะเป็นการหดตัวของพรรคเพื่อไทย เป็นอันตรายต่อเป้าหมาย ต่อยุทธศาสตร์ ของพรรคในอนาคตอันใกล้
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากนโยบาย “กัญชา” ที่ล่าสุดพรรคเพื่อไทยกำลังจะนำมาเป็นสาเหตุในการยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย ก็เช่นเดียวกัน เหตุผลสำคัญอันหนึ่งก็คือ เรื่องดังกล่าวมีผลทางการเมืองในวงกว้างและกำลังกลายเป็น “จุดเด่น” อีกอย่างหนึ่งของพรรคภูมิใจไทย ที่ส่งผลไปถึงระดับชาวบ้าน
ดังนั้น หากพิจารณาสถานการณ์ที่กล่าวมาทั้งหมด ย่อมต้องมองเห็นภาพแล้วว่า ทำไมพรรคเพื่อไทยต้องหันกลับมาแสดงท่าทีเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพรรคภูมิใจไทย แบบเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เป็นลักษณะของการ “ยืนกันคนละขั้ว” อย่างชัดเจน เพราะเส้นทางมันทับซ้อนกัน และขัดขวางเป้าหมาย “แลนด์สไลด์” ในวันหน้า ทำให้กำลังอยู่ในความเสี่ยง “แลนด์ไถล” มันถึงต้องขัดขวางกันทุกทางหรือเปล่า !!