xs
xsm
sm
md
lg

“เชาว์” ชี้ ต่อย “พี่ศรี” สะท้อนการเมืองขัดแย้งฝังราก จี้สื่ออย่าให้ค่าผู้ก่อเหตุ หวั่นเลียนแบบ-สอบ ตร.ปล่อยหนี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ทนายเชาว์” ชี้ ต่อย “ศรีสุวรรณ” สะท้อนความขัดแย้งการเมืองคงฝังรากลึก เตือนสื่ออย่าประโคมข่าวให้คนก่อเหตุเป็นฮีโร่ หวั่นเลียนแบบ ทำลายบรรยากาศเลือกตั้ง ทำตรรกกะสังคมบิดเบี้ยว อ้าง ปชต.แต่ใช้ความรุนแรง บี้สอบ ตร. ปล่อยคนทำผิดซึ่งหน้าหนี

วันนี้ (18 ต.ค.) นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เรื่อง ต่อย ศรีสุวรรณ จรรยา สะท้อนบริบทการเมืองไทย มากกว่าเรื่องกฎหมาย มีเนื้อหาระบุว่า คลิปวิดีโอเหตุการณ์ที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ถูกชายคนหนึ่งทำร้ายร่างกาย ซึ่งเกิดเหตุขณะที่ นายศรี​สุวรรณ​ แถลงข่าวหลังยื่นหนังสือต่อกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อเอาผิด​ เดี่ยว​ 13​ “โน้ส” อุดม แต้พานิช สนับสนุนม็อบไล่นายกฯ ต่อมาทราบว่าชายคนดังกล่าวชื่อ วีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล ได้ให้สัมภาษณ์อย่างภาคภูมิใจ ว่า ตั้งใจมาตบเพื่อสั่งสอน เพื่อจะบอกว่าคนเห็นต่างก็มี อย่าเลียจนเกินไป คำว่าประชาธิปไตยทุกคนต้องยอมรับความเห็นต่าง หลายปีมานี้ นายคนนี้เป็นนักร้องดังกว่านักร้องแร็ป ผมตั้งใจแบบนั้นจริงๆ พร้อมระบุว่า ตนอายุ 62 ปี และยินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ขอโทษตำรวจที่มาทำภารกิจวันนี้ที่ตรงนี้ หลังจากนั้น ได้ขี่รถจักรยานยนต์กลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย

“โดยส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว และไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาทุกรูปแบบ การเห็นต่างไม่ควรถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการใช้ความรุนแรงกับอีกฝ่ายหนึ่ง และไม่ควรอย่างยิ่ง หากจะมีการชูผู้ก่อเหตุเป็นฮีโร่ของอีกขั้วหนึ่ง ซึ่งจะยิ่งตอกลิ่มความขัดแย้งให้ฝังรากลึกมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราใกล้เข้าสู่การเลือกตั้งแล้ว หากมีการยกยอปอปั้น สร้างผู้ก่อเหตุให้กลายเป็นฮีโร่ พฤติกรรมเลียนแบบจะผุดขึ้นจนยากที่จะควบคุม เพราะกลายเป็นว่าทำรุนแรงแล้วได้เป็นข่าว กลายเป็นที่รู้จัก สื่อมวลชนก็ไม่ควรโหมประโคมข่าว หรือสัมภาษณ์ผู้ก่อเหตุ ซึ่งจะยิ่งกลายเป็นการขยายผลให้ตรรกกะในการแก้ปัญหาบิดเบี้ยวไป” นายเชาว์ ระบุ

อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุต่อไปว่า รู้สึกแปลกใจว่าทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในที่เกิดเหตุ จึงปล่อยให้คนร้ายขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปต่อหน้าต่อตา ทั้งที่เป็นความผิดซึ่งหน้า ที่เจ้าพนักงานตำรวจสามารถกระทำการจับกุมคนร้ายโดยไม่ต้องมีหมายจับได้ทันที เพราะคดีทำร้ายร่างกายไม่ใช่คดีความผิดส่วนตัวแต่เป็นคดีอาญาแผ่นดิน พฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในที่เกิดเหตุและเห็นเหตุการณ์สดๆ แต่ไม่จับกุม ทั้งที่ตนเองมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ สุ่มเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีหากมีใครกล่าวโทษ ซึ่งกองบัญชาการสอบสวนกลาง ต้องสอบสวนเรื่องนี้ และดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหน้าที่ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างที่ควรจะเป็นด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น