มีเหตุผล! “อดีตบิ๊ก ศรภ.” ชี้ชนชั้นกลางไทย ใจอ่อน ลืมง่าย ให้อภัยคน เตือนมีสิทธิเกิด “แลนด์สไลด์” ของเครือข่าย “ระบอบทักษิณ” “อัษฎางค์” โต้ยิบ “ปิยบุตร” ตรรกะผิดเพี้ยน ใช้ยุทธวิธีตื้นๆ ปลุกยกเลิก ม.112
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (18 ก.ย. 65) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า
“ชนชั้นกลางเป็นผู้ขับเคลื่อนสังคม และมักจะเข้าใจ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมที่ตนอยู่ได้ดี เราจึงมักเห็นคนชั้นกลางเหล่านี้ ออกมาปกป้องสังคมที่ตนอยู่ ให้ปลอดภัย สุขสงบ โดยไม่ต้องมีใครมาจ้างวาน แม้จะเสียทรัพย์สิน เสียเวลาทำมาหากิน หรือบางครั้งอาจต้องบาดเจ็บล้มตาย บางคนอาจโดนคดีถึงต้องติดคุก ก็ยอม เพราะชนชั้นกลางเหล่านี้เข้าใจได้ว่าเมื่อไร ท่ีสังคมไม่สงบสุข วุ่นวาย ด้วยปัญหาการทุจริตของนักการเมือง ซึ่งหากไม่มีการหยุดยั้งอาจนำไปสู่ความล่มจมของประเทศชาติได้ ส่วนนักการเมืองก็มักจะ ว่าจ้างมวลชนให้ออกมาปกป้องตัวเอง และลูกน้อง
โดยไม่คำนึงถึง วิธีการที่ใช้จะรุนแรงหรือไม่ จนเกิดความขัดแย้งในสังคมขึ้น ในที่สุด มันจะส่งผลกระทบกลับมาในทางอ้อม ต่อการทำมาหากิน ความสงบสุข ของประชาชนส่วนใหญ่ และสุดท้ายจะส่งผลมากระทบต่อความเป็นอยู่ของกลุ่มชนชั้นกลางด้วย ประเทศไทยมีชนชั้นกลางค่อนข้างมากกว่าประเทศอื่นๆ ความเข็มแข็ง และเอาการเอางาน จึงทำให้ประเทศอยู่รอดมาได้ในทุกวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่บอบช้ำมากนัก นี่คือ ข้อดีของการมีชนชั้นกลางที่เข็มแข็ง แบบประเทศไทย
ข้ออ่อนของชนชั้นกลางไทย คือ ใจอ่อน ลืมง่าย ให้อภัยคนง่าย ถ้าว่ากันไปก็ตรงกับลักษณะประจำชาติไทยอยู่แล้ว ดังนั้น เราจึงเห็นว่า เมื่อเวลาผ่านไปร่วม 25 ปี คือ ปัจจุบันนี้ แกนนำของพรรคการเมืองบางพรรค จึงกล้าออกมาหาเสียงในหลายเรื่องที่เคยทำผิดพลาดไว้ในอดีต โดยไม่ละอายใจต่อเรื่องเดิมที่เคยทำไว้เลย
ทำไมถึงกล้าทำ เพราะชนชั้นกลางที่เคยออกมาต่อต้านพวกคุณ ในช่วงรัฐบาลเครือข่ายระบอบทักษิณนั้น อายุมากแล้ว คนรุ่นใหม่ที่ขึ้นมาแทน ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องการทุจริต เพราะไม่มีประสบการณ์อยู่ในห้วงเวลาที่เกิดเหตุขึ้น และคนรุ่นใหม่มักจะไปนิยมวัฒนธรรมตะวันตกเพิ่มขึ้น
ระบบการศึกษาที่ล้าสมัยของไทย ทำให้เยาวชนรุ่นใหม่ไม่เข้าใจว่าจะเรียนให้ดีไปทำไม เมื่อมีตังค์แล้วการได้ปริญญาเอก ก็เป็นเรื่องง่ายๆ ทำให้สังคมไทยเริ่มขาดแคลน คนที่มีคุณภาพ ทางด้านเทคโนโลยี่ สถานภาพของพรรคการเมืองฝ่ายที่เป็นรัฐบาลในปัจจุบันนี้ ล้วนแต่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเลือกตั้งขึ้น เช่น
(1) แตกแยกกันเองทั้งภายในพรรค และระหว่างพรรค
(2) มีไส้ศึกอยู่ในพรรค
(3) ไม่ค่อยทำงานในพื้นที่
(4) *****ตัดคะแนนเสียงกันเอง *****
ดังนั้น อย่าไปดูถูกว่า การเกิดแลนด์สไลด์โดยพรรคการเมืองในเครือข่ายระบอบทักษิณ จะเกิดขึ้นไม่ได้นะครับ”(จากสยามรัฐออนไลน์)
ขณะเดียวกัน จากกรณี นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า ปลุกกระแสกดดันพรรคการเมืองยกเลิก “ม.112”
ล่าสุด วันนี้ (18 ก.ย.) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กระบุว่า
“ขอบเขตของ ม.112 คืออะไร
ตอนที่ 2 การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ปิยะบุตร กล่าวหาว่า องค์กรในกระบวนการยุติธรรมทั้งหลาย ใช้ ม.112 เกินขอบเขต
ขอบเขตของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญว่าด้วย “หมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์” คืออะไร
……………………………………………………………
ปิยะบุตร กล่าวว่า
หากมาตรา 112 คงอยู่ และองค์กรในกระบวนการยุติธรรมทั้งหลายนำมาใช้อย่างขยายความ เกินขอบเขต ลิดรอนเสรีภาพของประชาชน
112 ก็แผลงฤทธิ์ได้มาก
มากจนเกินกว่าตัวอักษรในมาตรา 112 ก็มี
ตีความคำว่า “ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย” จนผิดเพี้ยนไปหมด
มาดูกันว่า ….
องค์กรในกระบวนการยุติธรรมทั้งหลายตีความคำว่า “ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย” จนผิดเพี้ยนไปหมด
หรือ ปิยะบุตร คือผู้ที่ผิดเพี้ยนไปเอง
……………………………………………………………
ดูหมิ่น คืออะไร
ดูหมิ่น คือ การแสดงกิริยาวาจาสบประมาท, ดูหมิ่นดูแคลน ดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น
ด้วยการ…
แสดงกิริยาท่าทาง พูดจา หรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร
หมิ่นประมาท คืออะไร
หมิ่นประมาท คือ การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม อันประการจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง
ดูหมิ่น หมิ่นประมาท ในทางกฎหมาย ไม่ได้เป็นความผิดเฉพาะการกระทำต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น แต่ความผิดฐานะดูหมิ่น หมิ่นประมาท เป็นความผิดในการกระทำต่อ….
1. การกระทำต่อบุคคลธรรมดา
2. การกระทำต่อเจ้าหน้าที่รัฐ
อ่านรายละเอียดที่นี่ :
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=220969096921758&id=100070260068883
……………………………………………………………
3. การกระทำต่อบุคคลสำคัญระดับชาติ
เป็นข้อหาที่เรียกกันว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น เป็นความผิดที่กระทำต่อผู้ดำรงฐานะสี่อย่างของไทย ได้แก่ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112)
ผู้กระทำผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
ความผิดตามมาตรานี้มิได้เพียงกล่าวถึงการดูหมิ่นอย่างเดียว แต่รวมถึง “แสดงความอาฆาตมาดร้าย” ด้วย
แสดงความอาฆาตมาดร้าย คือ อาฆาตแค้น พยาบาทมุ่งจะทำร้ายให้ได้
พยาบาท คือ ผูกใจเจ็บคิดจะแก้แค้น คิดปองร้าย หรือในคำว่า ผูกพยาบาท
การแสดงความอาฆาตมาดร้าย ถ้าได้กระทำโดยการโฆษณา ก็ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
ความผิดตามกรณีนี้ไม่ว่าจะกระทำภายในหรือภายนอกราชอาณาจักรไทยก็ต้องรับโทษในราชอาณาจักร เพราะเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 7)
……………………………………………………………
สาเหตุที่การกระทำผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย มีโทษสูงกว่า การกระทำผิดต่อบุคคลธรรมดาและเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะ
สถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่บุคคลธรรมดาและเจ้าหน้าที่รัฐ
แต่พระมหากษัตริย์ เป็นประมุขแห่งรัฐ (ประเทศ)
ย่อมมีความพิเศษกว่าการเป็นบุคคลธรรมดาและเจ้าหน้าที่รัฐ
หากไม่มีพระมหากษัตริย์ ก็ไม่มีรัฐ (ประเทศ)
เพราะพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ (ประเทศ)
รัฐที่ไม่มีประมุข ก็ไม่เป็นรัฐ (ประเทศ)
ความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จึงเท่ากับความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ
……………………………………………………………
มาตรา 7
เป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 107 ถึงมาตรา 129
ตัวอย่าง
มาตรา 110 ผู้ใดกระทำการประทุษร้าย หรือผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น หรือผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อประทุษร้าย ต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินี หรือรัชทายาท หรือต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบหกปีถึงยี่สิบปี
มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
มาตรา 116
(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี
มาตรา 118 ผู้ใดกระทำการใด ๆ ต่อธงหรือเครื่องหมายอื่นใดอันมีความหมายถึงรัฐ เพื่อเหยียดหยามประเทศชาติ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
……………………………………………………………
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า, ความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เท่ากับเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ อีกด้วย
ซึ่งเป็นความผิดที่ร้ายแรงกว่าความผิดต่อบุคคลธรรมดาและต่อเจ้าหน้าที่รัฐ
ความผิดต่อบุคคลธรรมดาและต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่มีผลกระทบต่อรัฐหรือความเป็นรัฐ
แต่ความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มีผลต่อความมั่นคงแห่งรัฐ
แล้วจะให้มีบทลงโทษเท่ากับความผิดต่อบุคคลธรรมดาและต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ได้อย่างไร
……………………………………………………………
ขอยกตัวอย่าง นิว จตุพร
ดูหมิ่น คือ การแสดงกิริยาวาจาสบประมาท, ดูหมิ่นดูแคลน ดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น ด้วยการแสดงกิริยาท่าทาง พูดจา
คนแต่งชุดไทยในวาระต่างๆ อยู่เสมอมานับร้อยๆ ปี ไม่เคยเป็นคดีความ เนื่องจากการแต่งชุดไทยไม่มีความผิด
แต่การกระทำผิดตามความผิดในมาตรา 112 ของนิวนั้นมีองค์ประกอบชัดเจนหลายประการ เช่น
กิริยาอาการ การเดิน การแต่งกาย คนถือร่ม ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดอยู่ในบริบทของการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องงบสถาบันฯ
นอกจากนี้ยังมีการเปิดเพลงเพลงราชวัลลภ ประกอบด้วย พร้อมทั้งมีการตะโกนคำว่า พระราชินี ทรงพระเจริญ
จตุพร แซ่อึง หรือ “นิว” สมาชิกกลุ่มบุรีรัมย์ปลดแอก และสมาชิกกลุ่มมวลชนอาสา We Volunteer (Wevo) ถูกดำเนินคดี ม.112 เพราะแต่งชุดและแสดงกิริยาล้อเลียนสมเด็จพระราชินี ซึ่งเป็นความผิดจากการแสดงกิริยาท่าทางสบประมาท ดูหมิ่นดูแคลน ดูถูกเหยียดหยาม
……………………………………………………………
มาตรา 112 ถูกองค์กรในกระบวนการยุติธรรมทั้งหลายนำมาใช้อย่างขยายความ เกินขอบเขต ลิดรอนเสรีภาพของประชาชน ตรงไหน ?
ข้อเท็จจริงคือ องค์กรในกระบวนการยุติธรรมทั้งหลาย ทำตามขอบเขตที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัดทุกประการ
คนที่มอง 112 เป็นการปิดปากหรือคุกคามประชาชน
เหตุผลก็คือ คนกลุ่มดังกล่าวตั้งใจบิดเบือน เพื่อบั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะมันต้องการล้มลางการปกครอง
ยุทธวิธีตื้นๆ ที่ใช้กันมานานนมของคนกลุ่มที่ต้องการล้มล้างการปกครองในประเทศต่างๆ ตั้งแต่ในอดีต เช่น รัสเซีย ฝรั่งเศส เป็นต้น ก็คือ การสร้างความกลัวให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน
ซึ่งกลวิธีนี้ เขารู้ เราก็รู้
แต่คนที่ไม่รู้คือ ประชาชนที่ขาดความรู้และขวัญอ่อน
บุคคลและกลุ่มบุคคล ที่กล่าวหาว่า องค์กรในกระบวนการยุติธรรมทั้งหลายนำมาตรา 112 มาใช้อย่างขยายความ เกินขอบเขต ลิดรอนเสรีภาพของประชาชนนั้นต่างหาก ที่พยายามบิดเบือนและบั่นทอนองค์กรในกระบวนการยุติธรรมและสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อประโยชน์ทางใดทางหนึ่ง ซึ่งสมควรถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
ล้ม 112 = ล้มเจ้า = ล้มล้างการปกครอง”
แน่นอน, ประเด็นแรกที่น่าสนใจก็คือ การเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทย จะชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์(ถล่มทลาย)ได้จริงหรือไม่ ซึ่งถ้าพรรคเพื่อไทย ชนะแบบแลนด์สไลด์ โอกาสได้เห็น “นายกฯหญิงแห่งตระกูลชินวัตร” อีกคน ก็มีความเป็นไปได้
คำถามคือ อะไรที่จะหยุด “ความร้อนแรง” กระแส “เพื่อไทยแลนด์สไลด์” ลงได้ ส่วนหนึ่งที่ไม่แน่ว่าจะเป็นปัจจัยชี้ขาดอย่างแท้จริงหรือไม่ แต่ “อดีตบิ๊ก ศรภ.” ชี้ว่า มีส่วนสำคัญ ก็คือ คนชั้นกลาง(ที่เริ่มแก่) ที่เคยต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” จะเอาอย่างไร ลืม หรือให้อภัย การกระทำของ “ทักษิณ ชินวัตร” และเครือข่ายระบอบทักษิณ หรือยัง?
นอกจากนี้ ปัจจัยเสริม ยังมาจาก “คนรุ่นใหม่” ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ หรือไม่ใส่ใจที่จะเรียนรู้เรื่องการทุจริตของนักการเมือง ทั้งยังคลั่งวัฒนธรรมตะวันตกส่วนใหญ่ ก็อาจไม่มีผลต่อการหยุดแลนด์สไลด์ลงได้
กระนั้น ที่ไม่อาจมองข้าม ก็คือ กระแส “คนรากหญ้า” ที่ยัง “รักทักษิณ” และมีความเห็นต่างจากคนชั้นกลางมาตลอด หรือที่มีการกล่าวกันว่า “คนต่างจังหวัดเลือกนายกฯ คนกรุงเทพ ไล่นายกฯ” ซึ่งสิ่งที่ทำให้มวลชนเสื้อแดงออกมาต่อสู้เพื่อ “ทักษิณ” ส่วนหนึ่งเพราะเชื่อว่าถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง แล้วสิ่งนี้ก็คือ สิ่งที่ “ทักษิณ” นำไปกล่าวอ้างได้ มาจนถึงทุกวันนี้
ลองคิดดูว่า ทุกอย่างเข้าทาง “ระบอบทักษิณ” หรือไม่?
ส่วนประเด็น ที่ “อัษฎางค์” ตอบโต้ “ปิยบุตร” เรื่องการใช้ ม.112 โดยตีความบทบัญญัติกฎหมายเกินขอบเขตนั้น ขอให้ผู้อ่านตัดสินเอง ต่างฝ่ายต่างก็อ้างเหตุผลละเอียดยิบเหมือนกัน ใครบิดเบือน ตรรกะผิดเพี้ยน ผู้อ่านตัดสินได้อยู่แล้ว!?