เมืองไทย 360 องศา
วันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นวันที่คณะบุคคลที่เรียกว่า “คณะราษฎร” อันประกอบด้วย ทหาร พลเรือน ก่อการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบบที่เรียกว่า ระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ หรือจะเรียกว่าระบบรัฐสภา ก็แล้วแต่ หากนับจนถึงวันนี้ (24 มิถุนายน 2565) ก็ถือว่าครบ 90 ปีเต็ม
เป็น 90 ปี ที่ถือว่ามีความก้าวหน้าตามเป้าหมายที่ต้องการให้เดินไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ และอำนาจเป็นของ “ราษฎร” อย่างแท้จริงหรือไม่ เชื่อว่า หลายคนต่างมีความคิดเห็นแตกต่างกันไป
หลายคนบอกว่าทุกอย่าง “ย่ำอยู่กับที่” ไม่ไปไหน หรือทุกอย่างเป็นเรื่อง “จอมปลอม” มีแต่แอบอ้างประชาชนเพื่อหาประโยชน์เข้าตัวเองอยู่ร่ำไป
ที่ผ่านมา “คณะราษฎร” ที่มาจากกลุ่มนักเรียนนอก ข้าราชการหัวสมัยใหม่ นายทหาร นักหนังสือพิมพ์ ที่มี พ.อ.พหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้าผู้ก่อการ มี นายปรีดี พนมยงค์ ร.ท.แปลก ขีตตะสังคะ เป็นต้น เป็นแกนนำ
แน่นอนว่า สาเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองดังกล่าวส่วนสำคัญนอกเหนือจากปัจจัยภายในประเทศที่มีทั้งปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า ความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียม ในเรื่องของ “ชนชั้น” แล้ว ยังมีสถานการณ์โลก กระแสการเปลี่ยนแปลงแบบที่เรียกว่า “อภิวัฒน์” หรืออาจเรียกว่าเป็นการ “ปฏิวัติประชาชน” มีการล่มสลายของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือระบอบกษัตริย์ในหลายประเทศในช่วงเวลานั้น ไล่เลี่ยกัน เช่น จีน รัสเซีย เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี เป็นต้น
แม้ว่าหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา จะเกิดความแตกแยก แย่งชิงอำนาจ หักหลังกันเองในหมู่ “คณะราษฎร” ด้วยกันเองอย่างรุนแรงมาตลอด มีการตามล่า ตามล้าง จนระดับผู้ก่อการบางคน เช่น จอมพล ป.พิบูลสงคราม หรือแม้แต่ นายปรีดี พนมยงค์ ต้องหลบหนีลี้ภัยไปต่างประเทศจนจบชีวิต
แต่อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ในช่วงหลายสิบปีก่อน เชื่อว่า หลายคนยังรับรู้ถึงคุณูปการของคณะผู้ก่อการกลุ่มนี้ อย่างน้อยก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นในบ้านเมือง และหลายคนก็พยายาม “หรี่ตา” ทำเป็นมองไม่เห็น หรือไม่พยายามพูดถึง “เรื่องอื้อฉาว” หลายเรื่อง แบบมองผ่านไป
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะมีการรำลึกถึงเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง วันที่ 24 มิถุนายน ทุกปี รวมไปถึงวันรำลึกถึง “รัฐธรรมนูญ” ในวันที่ 10 ธันวาคม ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ก็เป็นผลต่อเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั่นเอง
หลายอย่างก็ดำเนินการมาเรื่อยๆ แบบเป็นปกติ ปีแล้วปีเล่า คณะราษฎร มีการพูดถึงเมื่อถึงวันครบรอบวันที่ 24 มิถุนายน หรือต่อเนื่องกันไปเมื่อถึงวันรัฐธรรมนูญ ในวันที่10 ธันวาคม
อย่างไรก็ดี บรรยาการเริ่มเปลี่ยนไปในช่วงสองสามปีมานี้ เมื่อมี “บางกลุ่ม” พยายามสร้างกระแส “เชิดชูคณะราษฎร” จนเรียกว่า “เกินจริง” ซึ่งกลุ่มที่พยายามสร้างกระแสดังกล่าวก็ล้วนมาจากกลุ่มที่ “ไม่เอาเจ้า” มีเจตนา “ล้มเจ้า” หรือมีเจตนาล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ นั่นเอง ที่มีทั้ง นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย บางคนมี “อดีตฝังใจ” กับเหตุการณ์ในอดีต บางคนก็มีความฝันอยากจะเปลี่ยนแปลงสังคมไปแบบบางประเทศในตะวันตก มีความฝันถึงเรื่อง เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ โดยมีการปลูกฝังอุดมการณ์พวกนี้ผ่านทาง “เด็กรุ่นใหม่” ทั้งในรั้วมหาวิทยาลัย และภายนอก
มีการชักใยให้เกิดกระแสต่อต้าน เกิดการชุมนุมมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวให้มีการยกเลิก มาตรา 112 ที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ และองค์พระประมุขของชาติ รวมทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์
อย่างไรก็ดี กระแสดังกล่าวยังปลุกไม่ขึ้น ยังไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง แม้ว่าพวกเขาจะอ้างว่า สามารถสร้างกระแสการตื่นตัวในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทำให้การพูดถึงเรื่องสถาบันฯ เป็นที่พูดถึงกันอย่างเปิดเผยมากขึ้นก็ตาม และอ้างว่านี่คือความสำเร็จแล้วก็ตาม แต่มาวันนี้หากพิจารณาในภาพรวมแล้วถือว่า “ยังปลุกไม่ขึ้น” คนส่วนใหญ่ยังไม่เอาด้วย
เมื่อวกกลับมาที่ “คณะราษฎร” จากเดิมที่คนมองเห็นถึง “คุณูปการ” และพยายาม “หรี่ตา” มองผ่านในบางเรื่อง แต่มาวันนี้เมื่อถูก “โหนกระแส” จากบางกลุ่มที่มี “เจตนาล้มเจ้า” แล้ว อ้างว่าเป็น “วีรบุรุษ” นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงสู่ระบอบประชาธิปไตย นำ “เสรีภาพ” มาสู่สังคมไทย จนนำไปสู่การ “แฉโพย” แบบไม่ไว้หน้า
กลายเป็นว่า “คณะราษฎร” กลายเป็น “คณะโจร” จนหมดสภาพไปแล้ว
เพราะการอ้างเสรีภาพ ประชาธิปไตย “อภิวัฒน์” เพื่อประชาราษฎร์นั้น กลายเป็นว่าก็ไม่จริง เพราะเอาเข้าจริงตลอดเวลามีแต่ความแตกแยก แย่งชิงอำนาจกันเอง มีแต่การ “ก่อรัฐประหาร” จนเรียกได้ว่านี่แหละ “โคตรเผด็จการ” เลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงเป็น “คณะโจร” ก็คือ หลักฐานที่ปรากฏว่า ระดับแกนนำของคณะราษฎรหลายคนที่มีการ “ปล้น” หรือบีบบังคับเอาทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์มาเป็นของตัวเอง จนกลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ทำลายชื่อเสียงจนป่นปี้
ที่ผ่านมา บรรดา “ม็อบสามนิ้ว” บางกลุ่มพยายามเชิดชูกลุ่มคณะราษฎร โดยพยายามอ้างในเรื่อง “เสรีภาพประชาธิปไตย” จนลืมไปว่า คนกลุ่มนี้ก็คือ “โคตรเผด็จการ” มีแต่เรื่อง “รัฐประหาร” แย่งอำนาจกันเอง หลายคนต้องหลบหนี ติดคุก ถูกเนรเทศ และที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ กลายเป็น “คณะโจร” ในที่สุด จนอาจเรียกว่านี่คือการ “ขุดขึ้นมาฆ่า” หักมุมแบบคาดไม่ถึงกันเลยทีเดียว !!