อย่างนี้นี่เอง! “ดร.นิว” ขอบคุณ “สมศักดิ์ เจียม” ที่เปิดบันทึก “ปรีดี” มีเจตนาล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ชัดเจน “3 นิ้ว” ชุมนุม “ลานคนเมือง” ว่านอนสอนง่าย ในโอวาท “ชัชชาติ” ใบปอ-บุ้ง นอนคุกต่อ ศาลไม่ให้ประกัน
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (23 มิ.ย. 65) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า
“ฉีกหน้ากากนายปรีดีหัวหอกคณะราษฎร
นอกจากคณะราษฎรจะเป็นเผด็จการลัทธิรัฐธรรมนูญหลอกลวงประชาชน และคอยขัดขวางการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงมาตั้งแต่ต้น คณะราษฎรยังมีเป้าหมายในการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย
งานนี้ต้องขอบคุณ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่ได้นำบันทึกของนายปรีดี พนมยงค์ ออกมาตีแผ่ จนทำให้ประชาชนได้หูตาสว่าง และรับรู้รับทราบอย่างกระจ่างชัด คนอย่างนายปรีดีแท้จริงแล้วเป็นคนเช่นใด
จากบันทึกดังกล่าว พบว่า นายปรีดี มีเจตนาล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน แถมยังเป็นรากฐานของขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน ยืนยันด้วยข้อความสำคัญตอนหนึ่งจากบันทึกของนายปรีดีในหน้าที่ ๑๙ ความว่า...
“แม้ว่ากษัตริย์ยังมีผู้นับถือ แต่กษัตริย์เป็นตัวแทน
สำคัญของปฏิกิริยาและจักร. เม เราต้องสู้เพื่อจุดหมายปลายทาง
คือล้มระบบกษัตริย์ แต่วิธีสู้นั้นต้องใช้ให้เหมาะสม
แก่สภาพท้องที่
......
ข. วิธีสู้ต้องเริ่มจากจิตวิทยา เตรียมทำลาย
ทำให้เสื่อม เมื่อเห็นว่าเสื่อมแล้วก็ล้มได้”
ขบวนการใช้โซเชียลมีเดียเป็นอาวุธปั่นกระแสบิดเบือนให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน จึงเป็นการนำแนวคิดของนายปรีดีที่ได้เสนอแผนการใช้จิตวิทยาทำให้เสื่อมแล้วล้มล้าง มาลงมือปฏิบัติเพื่อขยายผลให้เกิดเป็นรูปธรรม
แม้แต่อาชญากรทางความคิด อย่าง... ซึ่งคอยใช้จินตนาการผสมกับการเล่นลิ้นลมปากบิดเบือนให้ร้ายและสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด ก็เป็นผลผลิตจากแนวคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ของนายปรีดีด้วยเช่นกัน”
ขณะเดียวกัน วันนี้ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงกรณีวันที่ 24 มิถุนายนนี้ จะมีการชุมนุมกันบริเวณลานคนเมืองของกลุ่มราษฎร ว่า
เรายังไม่ได้ประกาศลานคนเมืองเป็นพื้นที่สาธารณะ ดังนั้น การจัดกิจกรรมต่างๆ ยังคงต้องมีความเหมาะสม เพราะมีโรงเรียนใกล้เคียง โดยจะมอบหมายให้ พล.ต.อ.อดิษฐ์ งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. กับ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. ช่วยดูรายละเอียด และตอนนี้เราก็มีการเตรียมห้องน้ำ เครื่องเสียง แต่ต้องอย่าไปกระทบกับวัดและโรงเรียนอีกฝั่ง โดยอาจมีการจำกัดพื้นที่
ทั้งนี้ นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ “โตโต้” แกนนำม็อบ 3 นิ้วกลุ่ม We Volunteer หรือ วีโว่ ผู้ต้องหาคดี ม.112 โพสต์กิจกรรมความเคลื่อนไหวทางการเมืองผ่านทางเพจ We Volunteer ว่า วันที่ 24 มิถุนายน 2565 ปีนี้ ถือเป็นการครบรอบ 90 ปี การอภิวัฒน์สยามที่นำโดยกลุ่มคนที่มีชื่อว่า “คณะราษฎร” และสำหรับกิจกรรมในปีนี้ เราขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนผู้รักในประชาธิปไตยร่วมกิจกรรม “ฉลองวันชาติคณะราษฎรยังไม่ตาย” โดยพร้อมเพียงกัน ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเวลา 16.00 น. เพื่อตั้งริ้วขบวนมุ่งหน้าไปยังลานคนเมือง (ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร) เพื่อพบกับแขกรับเชิญสุดพิเศษมากมายหลายท่านที่จะมาร่วมพูดคุย แลกเปลี่ยนความเห็นทางการเมือง พร้อมทั้งยังมีดนตรี การแสดง การออกร้านค้าจำหน่ายสินค้าที่ระลึก และมีร้านอาหารเครื่องดื่ม พร้อมด้วยกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย แล้วพบกันประชาชน
อย่างไรก็ตาม เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ข้อความพร้อมภาพ ประชาสัมพันธ์กิจกรรมดังกล่าว ระบุว่า
“วันล้มเจ้า ปล้นประเทศ เอาสมบัติชาติมาแจกจ่ายพวกพ้อง
แล้วสุดท้ายฆ่ากันเอง จนต้องทูลเชิญเจ้าให้กลับมาอีกครั้ง”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพจเฟซบุ๊ก ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความระบุว่า
วันนี้ เวลา 08.41 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว “ใบปอ” (นามสมมติ) และ “บุ้ง” เนติพร (สงวนนามสกุล) นักกิจกรรมกลุ่มทะลุวัง เป็นครั้งที่ 5 ในคดีจากการทำโพลสำรวจความเดือดร้อนจากขบวนเสด็จ ที่บริเวณห้างสยามพารากอน เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2565 โดยขอวางเงินสดเป็นหลักประกันคนละ 200,000 บาท
ก่อนหน้านี้ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 ได้ยื่นฟ้องคดีนี้ เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่ผ่านมา จากนั้น ศาลมีคำสั่งให้ประกันจำเลย 6 คนระหว่างพิจารณาคดี โดยกำหนดเงื่อนไข ติดกำไล EM ห้ามทำกิจกรรมหรือกระทำการใดๆ ในลักษณะเดียวกับที่ถูกฟ้อง อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ฯลฯ แต่ไม่ให้ประกันตัวบุ้งและใบปอ ซึ่งก่อนหน้านั้นถูกถอนประกันไปเมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2565 แม้พนักงานอัยการจะไม่คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งแปด
โดยคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในครั้งนี้ มีใจความสำคัญ ระบุว่า
1. จำเลยทั้งสองถูกคุมขังอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลาง กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. 2565 ตามหมายขังของศาลอาญากรุงเทพใต้มาเป็นระยะเวลากว่า 50 วันแล้ว และส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ของจำเลยทั้งสอง โดยทั้งสองมีอาการปวดท้อง เวียนหัว ร่างกายอ่อนเพลีย โดยเฉพาะบุ้ง จำเลยที่ 3 ที่มีอาการอาเจียนร่วมด้วยหลายครั้ง ประกอบกับก่อนที่จะถูกคุมขัง แพทย์เฉพาะทางที่รักษาบุ้งเป็นประจำได้วินิจฉัยพบว่าบุ้งมีก้อนเนื้อที่มดลูก ซึ่งมีความจำเป็นจะต้องกินยาเป็นประจำเพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการที่ก้อนเนื้อดังกล่าวจะกำเริบต่อไป การที่ถูกคุมขังในคดีนี้ทำให้จำเลยไม่สามารถรักษาตัวได้อย่างต่อเนื่อง
เกี่ยวกับการต่อสู้คดีนั้น จำเลยทั้งสองจำเป็นต้องได้ติดต่อขอความยินยอมต่อประจักษ์พยานและพยานบุคคลอื่นด้วยตนเอง เพื่อให้มาเป็นพยานพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลยในชั้นศาล
2. การที่จำเลยทั้งสองถูกคุมขังมาเป็นระยะเวลากว่า 50 วัน ยังส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของจำเลยทั้งสอง กล่าวคือ ใบปอ จำเลยที่ 2 ในฐานะนิสิต นักศึกษาประจำวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วยอึ้งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ขาดสอบวัดผลตามกำหนดการที่มหาวิทยาลัยได้จัดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ใบปอยังตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิในการศึกษาที่จะส่งผลต่ออนาคตของตัวเอง จึงได้ดำเนินเรื่องขออนุญาตภาควิชาในการดำเนินการสอบวัดผลย้อนหลังหากได้รับอนุญาตในการปล่อยตัวชั่วคราว เพื่อเป็นการปกป้องสิทธิของจำเลยไม่ให้ต้องพ้นสภาพนักศึกษา
ในส่วนของบุ้งนั้น ก่อนถูกคุมขังในคดีนี้ บุ้งมีอาชีพรับจ้างสอนพิเศษ เพื่อเลี้ยงดูมารดาของตัวเอง ซึ่งมีอาการป่วยหนัก และมีภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมาก หากจำเลยได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวย่อมทำให้จำเลยมีโอกาสกลับไปเลี้ยงดูและจัดการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการรักษาโรคของมารดาได้
ทั้งนี้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตจำนงของจำเลยทั้งสอง ที่มีความประสงค์ขอปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย และค้นหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง รวมถึงสามารถกลับไปสอบวัดผลและศึกษาต่อในสถานศึกษาได้ ตลอดจนกลับไปประกอบอาชีพ เพื่อเลี้ยงดูมารดาได้ จำเลยทั้งสองได้ให้คำยืนยันว่า หากศาลกำหนดเงื่อนไขให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติขณะปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสองยินดีปฏิบัติตามเงื่อนไขศาลอย่างเคร่งครัด
หากศาลเกรงว่าจำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลซ้ำอีก ก็ขอให้มีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวโดยมีกำหนดระยะเวลา 60 วัน ซึ่งหากจำเลยไม่สามารถปฏิบัติเงื่อนไขที่ศาลกำหนด ศาลอาจสั่งเพิกถอนประกันหรือไม่อนุญาตให้ประกันจำเลยต่อไปในภายหลัง
ต่อมาในเวลา 11.57 น. เนตรดาว มโนธรรมกิจ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ระบุว่า “พิเคราะห์คำร้องประกอบการขอปล่อยตัวชั่วคราวแล้วเห็นว่าการที่จำเลยที่ 2 และ 3 อ้างว่ามีอาการปวดท้อง ร่างกายอ่อนเพลียนั้นเนื่องจากในเรือนจำมีแพทย์และโรงพยาบาลที่สามารถดูแลรักษาอาการดังกล่าวได้ กรณีจึงไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ยกคำร้อง”
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา บุ้งได้มีอาการทรุดหนักจนต้องถูกส่งตัวเข้าสถานพยาบาลกลางดึก อีกทั้งการที่บุ้งไม่ได้รักษาก้อนเนื้อในมดลูกจากแพทย์เฉพาะทางอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลต่อสุขภาพของเธอในระยะยาว และการที่ใบปอไม่สามารถรักษาสิทธิทางการศึกษาของเธอไว้ได้ อาจส่งผลต่ออนาคตทางการศึกษาของเธอในภายภาคหน้าอีกด้วย (จากสยามรัฐออนไลน์)
แน่นอน, ข้อมูลจากวิกิพีเดีย ถือว่า “การปฏิวัติสยาม” 24 มิถุนายน 2475 มีผลทำให้ราชอาณาจักรสยามเปลี่ยนการปกครองจาก “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ไปเป็น “ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” และเปลี่ยนรูปแบบการปกครองไปเป็น “ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา” ในเวลาต่อมา
ทั้งนี้ เกิดจากความร่วมมือระหว่างคณะนายทหารและพลเรือน ที่ประกอบกัน เรียกตนเองว่า “คณะราษฎร”
แต่ “ประวัติศาสตร์” ดังกล่าวก็เป็นเหมือน “เหรียญสองด้าน” แล้วแต่ใครจะหยิบเอามามอง โดยเฉพาะฝ่ายหนึ่งเห็นว่า เป็นจุดเริ่มของ “ประชาธิปไตยไทย” และควรค่าแก่การรำลึกนึกถึง
แต่อีกฝ่าย โต้แย้งในประเด็น 90 ปีนี้แล้ว ทำไมยังไม่สามารถทำให้ประชาธิปไตยเป็นของประชาชนอย่างแท้จริงได้ การมีรัฐธรรมนูญฉบับแรก และหลายฉบับที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันร่างออกมาใช้ แท้จริงแล้ว คือ “ลัทธิรัฐธรรมนูญ” ที่สร้างความชอบธรรมให้กับกลุ่มคนที่ต้องการขึ้นครองอำนาจเท่านั้นหรือไม่...
ที่สำคัญ เวลานี้ได้เกิดปรากฏการณ์ “ล้มเจ้า ภาค 2” ของคนบางกลุ่ม ต้องการสานต่อภารกิจ “คณะราษฎร 2475” จนกลายมาเป็น ขบวนการม็อบ 3 นิ้ว ที่เรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบันฯ” นั่นเอง
ส่วน “ใครเป็นใคร” คนไทยน่าจะรู้จักดี เพราะแม้จะเป็น “อีแอบ” ในการออกหน้าต่อสู้ ไม่อายเด็กแล้ว เขาก็ไม่ได้ปิดบังว่า ตัวเองฝักใฝ่อะไร และสนับสนุนการเคลื่อนไหวของม็อบ 3 นิ้ว
เพียงแต่จะสานต่อ “ภารกิจ” คณะราษฎร 2475 สำเร็จหรือไม่ ต้องถามใจคนไทยส่วนใหญ่ว่า เห็นด้วยหรือไม่เท่านั้นเอง