xs
xsm
sm
md
lg

ปิยบุตรไม่ได้อยู่เหนือกฎหมาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



ล่าสุดปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตอาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตกเป็นผู้ต้องหาคดีความผิดตามมาตรา 112 จากการแจ้งความดำเนินคดีของเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์

หลังได้รับหมายจากตำรวจปิยบุตรโพสต์ลงในเพจของเขาตอนหนึ่งว่า “ผมนำเสนอความเห็นทางวิชาการ เขียน อภิปราย เกี่ยวกับประเด็นการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์และเสนอให้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎเกณฑ์ทางกฎหมายที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ทั้งในระดับรัฐธรรมนูญและระดับพระราชบัญญัติมาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10 ปี ตั้งแต่สมัยยังเป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนกระทั่งเข้าสู่แวดวงการเมือง ตลอดเวลามากกว่า 10 ปีจนถึงปัจจุบัน ไม่มีการแสดงความเห็น การเขียน การพูดของผมครั้งใดที่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อย่างแน่นอน ผมแสดงความเห็นในเรื่องเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ก็ด้วยจิตสำนึกและเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ แก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ให้สอดคล้องกับประชาธิปไตย เพื่อรักษาประชาธิปไตยและรักษาสถาบันกษัตริย์ให้ดำรงอยู่รอดปลอดภัยภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปกำลังเผชิญกับความท้าทายของยุคสมัย”

“ไม่มีความเห็นใดของผมที่ต้องการเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ ไม่มีความเห็นใดของผมที่หมิ่นประมาท ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ มีแต่ความเห็นที่ปรารถนาดีต่อสังคมไทย ต้องการให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่ทำให้ทุกคนทุกรุ่นทุกวัย ทุกความคิดเห็นที่แตกต่างกัน สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ โดยยังคงรักษาสถาบันกษัตริย์ไว้ได้ต่อไป”

ปิยบุตรบอกว่า เทพมนตรีแจ้งความดำเนินคดี 8 โพสต์ แต่ตำรวจเห็นว่ามีเพียง 1 ข้อความที่อาจเข้าข่ายกระทำความผิดมาตรา 112 นั่นคือข้อความของปิยบุตรที่โพสต์ในทวิตเตอร์ว่า

“สภาพสังคมปัจจุบันนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลงได้อย่างสันติ แต่การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ กองทัพ ศาล เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่รักษาสถาบันกษัตริย์ไว้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญต่างหากที่เป็นไปได้ และทำให้ทุกคนอยู่อย่างสันติ#ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์”

แม้ปิยบุตรจะมั่นใจว่า ข้อความที่เขาโพสต์นั้นไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นความเห็นที่ขัดแย้งกับตำรวจ สุดท้ายแล้วก็คงเป็นเรื่องที่อัยการจะรับช่วงต่อจะมีความเห็นอย่างไร และถ้าผ่านอัยการไปได้ ก็คงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

ปิยบุตรคงมั่นใจเพราะเชื่อว่าตัวเองเป็นนักกฎหมาย รู้ชั้นเชิงจังหวะการพูด ที่ไม่ให้เข้าข่ายความผิด แม้จะพูดจาแบบไต่เส้นลวดมาตลอด แต่ไม่เคยถูกดำนินคดีเลย ต่างกับคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่ปิยบุตรและพวกคอยดันหลังแล้วตกเป็นผู้ต้องหาตามคดีมาตรา 112 กันคนละหลายคดี

ถ้าถามว่าข้อความที่ว่า “สภาพสังคมปัจจุบันนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลงได้อย่างสันติ แต่การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ กองทัพ ศาล เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่รักษาสถาบันกษัตริย์ไว้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญต่างหากที่เป็นไปได้ และทำให้ทุกคนอยู่อย่างสันติ #ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 ไหม เราคงมาถอดรหัสข้อความนั้นกันดู

ชัดเจนว่า ปิยบุตรกล่าวหาว่า ในปัจจุบันเราอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างที่เข้าใจกัน

เมื่อปิยบุตรกล่าวเช่นนั้น เท่ากับปิยบุตร กล่าวหาว่า พระมหากษัตริย์ไทยไม่ได้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญตามที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองมาแล้วตั้งแต่ปี 2475

ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือการปกครองแบบราชาธิปไตยรูปแบบหนึ่งซึ่งพระมหากษัตริย์มีอำนาจสิทธิ์ขาดสูงสุด

เท่ากับปิยบุตรกล่าวหาพระมหากษัตริย์ว่าไม่ได้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคแรกที่ระบุว่า อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อํานาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

นั่นหมายความว่า ปิยบุตรกล่าวหาว่า พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจสิทธิ์ขาดสูงสุดและอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ประเด็นนี้แหละครับที่มีปัญหา

แต่ความจริงที่เรารู้กันอยู่ก็คือ ปัจจุบันพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญอยู่แล้ว การกล่าวเช่นนั้นของปิยบุตรจึงเป็นการกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง และอย่างที่ปิยบุตรบอกว่า เขากล่าววิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์มาตลอดนับ 10 ปี ซึ่งเราสามารถนำมาพูดโยงกันได้ว่า แท้จริงแล้ว ปิยบุตรมีความคิดเช่นไรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งสามารถนำไปอธิบายประโยคที่ตำรวจมีความเห็นว่าข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 ได้ดี

ครั้งหนึ่งปิยบุตร กล่าวว่า หากเราไปดูในประวัติศาสตร์โลกที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงจากระบอบกษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายเกิดขึ้นเพียงสองทางเท่านั้น คือกลายมาเป็นระบอบกษัตริย์อยู่ใต้กฎหมาย (Constitutional Monarchy) หรือกลายมาเป็นสาธารณรัฐ สุดท้ายถ้ากษัตริย์ไม่ปรับตัว หน่วยอำนาจใหม่ชนะก็จะกลายเป็นสาธารณรัฐ แต่ถ้าไปดูประเทศที่เปลี่ยนมาเป็น Constitutional Monarchy ได้ ก็เพราะกษัตริย์ยอมลดทอนอำนาจตัวเองลงให้มาอยู่ใต้ระบอบประชาธิปไตยเพื่อรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์เอาไว้

แต่เมื่อประเทศไทยของเราเป็นระบอบ Constitutional Monarchy อยู่แล้ว ดังนั้นถ้าไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของปิยบุตรก็จะนำไปสู่ระบอบสาธารณรัฐเช่นนั้นหรือ เหมือนคำขู่เสมอมาว่า ถ้าไม่เอาปฏิรูปก็ต้องปฏิวัติ

ปิยบุตรเคยบรรยายกับนักศึกษาที่ธรรมศาสตร์ตอนหนึ่งว่า รัฐสมัยใหม่รุ่นแรกๆ ผู้ปกครองคือพระมหากษัตริย์ สืบทอดทางสายโลหิต นี่เป็นรัฐแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อกษัตริย์สิ้นพระชนม์ก็มีกฎเกณฑ์การสืบทอดทางสายโลหิตต่อไป รัฐไม่ได้ล้มสลายหายไป ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ผ่านไปเรื่อยๆ คนเริ่มตั้งคำถามว่า ทำไมต้องยอมให้คนตระกูลๆ หนึ่งเท่านั้น จำเป็นต้องเป็นอย่างนี้เหรอ นี่คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ที่ทำให้เกิดการปราบดาภิเษกอยู่เรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม พัฒนาการต่อมา ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่ชอบธรรมในโลกสมัยใหม่ จึงเกิดรัฐประชาธิปไตยขึ้น สิทธิธรรม ความชอบธรรมผู้ปกครองต้องมาจากการเลือกตั้ง เป็นการอธิบายใหม่ว่า อำนาจสูงสุดที่ใช้ปกครองในรัฐนั้นไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของคนทุกๆ คน จึงสร้างสิ่งสมมติขึ้นมาแทนคนทุกๆ คน นั่นก็คือ people หรือประชาชน นี่คือการถ่ายโอนอำนาจสูงสุดที่อยู่ที่คนหนึ่งคนให้เป็นทุกคน และใช้วิธีการเลือกตั้งผู้ปกครอง เป็นรัฐแบบประชาธิปไตย

นี่เป็นตัวอย่างว่า ปิยบุตรไม่ได้ไม่ยอมรับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้น แต่ปิยบุตรไม่ยอมรับระบอบกษัตริย์นั่นเอง

ไม่มีใครรู้หรอกว่าระหว่างคำพูดของปิยบุตรที่อ้างว่าต้องการเพียงให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญไม่ต้องการให้เกิดระบอบสาธารณรัฐนั้นคือความจริงแท้ในจิตใจไหม แต่ความเห็นที่ผ่านมาของปิยบุตรต่อระบอบกษัตริย์ก็สะท้อนความคิดของปิยบุตรได้ดี

ปิยบุตรคงต้องซื่อสัตย์ต่อความคิดของตัวเองสักนิด ว่ามีความคิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร

และจริงแล้วที่ปิยบุตรบอกว่า นำเสนอความเห็นทางวิชาการ เขียน อภิปราย เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์มาเป็น 10 ปี ไม่มีครั้งใดที่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เลย นั่นแหละเป็นการอธิบายที่แท้จริงว่า สามารถวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ได้

แต่การที่ปิยบุตรถูกดำเนินคดีครั้งนี้ เพราะคำพูดนั้นมันเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 จะอ้างว่า เป็นอาจารย์สอนกฎหมายวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์มาตลอด ดังนั้นไม่ควรจะถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตามมาตรา 112 นั้น จึงเป็นตรรกะที่ตลกสิ้นดี

เหมือนปิยบุตรกำลังคิดว่าตัวเองเป็นพวกอยู่เหนือกฎหมายยังไงอย่างนั้น

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น