เมืองไทย 360 องศา
น่าจะเรียกว่าเป็นควันหลงแบบต่อเนื่องก็ได้สำหรับ “ขบวนลูกเถ้าแก่” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊ง” ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ลูกสาวคนเล็กของนายทักษิณ ชินวัตร ยกขบวนไป “ไล่หนู ตีงูเห่า” ที่ศรีสะเกษ เมื่อวันก่อน จนมีข้อสังเกตตามมามากมาย แต่พอสรุปรวมได้ความว่า “ไม่คุ้มค่า” หรือ “ได้ไม่คุ้มเสีย” อะไรประมาณนั้น ลักษณะที่ออกมาล้วนถูกมองว่าเป็นการ “สร้างภาพเกินจริง”
โดยเฉพาะภาพที่มีมวลชนไปรอรับที่สนามบินอุบลราชธานี ก็มีการสรุปตรงกันว่าเป็น “มวลชนจัดตั้ง” มีการกะเกณฑ์กันมาของพวก ส.ส.บรรดา “ขาใหญ่” ในพื้นที่ หัวคะแนน ระดมกันมา เปลี่ยนมาเป็น “ครอบครัว เพื่อไทย” มาต้อนรับกันพรึบ
ส่วนการเข้าพื้นที่เพื่อ “ไล่หนู ตีงูเห่า” ที่ศรีสะเกษ ที่มีคนต้อนรับกันแบบมืดฟ้ามัวดินแบบล้นหลามนั้น เอาเข้าจริงมันก็เป็นเพียงแค่ใช้ “เทคนิคกราฟิก” ตกแต่งภาพให้ดูอลังการงานสร้างเท่านั้นเอง ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการสร้างภาพความยิ่งใหญ่ให้สมกับการที่ “ลูกเถ้าแก่ใหญ่” เดินทางมา มันก็จำเป็นต้องสร้างกระแส ตั้งขบวนแห่ให้ยิ่งใหญ่อลังการเอาไว้ก่อน เพราะต้องไม่ลืมว่า เป้าหมายในครั้งนี้ ก็คือ ต้องไป “จัดการกับหนูและงูเห่า” เพื่อป้องกันไม่ให้ระบาดทั่วภาคอีสานนั่นเอง ก่อนหน้านี้ อย่างที่รับรู้กันว่า สาม ส.ส.พรรคเพื่อไทย อันประกอบด้วย นายธีระ ไตรสรณกุล ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย และ นายจาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย และ นางผ่องศรี แซ่จึง รวมไปถึง นายปวีณ แซ่จึง สามีของนางผ่องศรี ซึ่งเป็น อดีต ส.ส. ของจังหวัดนี้หลายสมัย ก็ได้เปิดตัวลงสมัคร ส.ส.กับ พรรคภูมิใจไทย ในสมัยหน้าอย่างเป็นทางการแล้ว
แต่ที่น่าเจ็บปวด ก็คือ คำพูดของ นายปวีณ แซ่จึง อดีต ส.ส.ศรีสะเกษ หลายสมัยจากพรรคเพื่อไทย ได้พูดทิ้งท้ายก่อนจากไว้น่าสนใจบางช่วงบางตอนว่า
“ผมเกิดที่นี่ โตที่นี่ เป็น ส.ส.ตั้งแต่หลายคนยังไม่ทันเกิด ต่อเนื่องมาในการเมือง 50 ปี อยู่พรรคเพื่อไทย ตั้งแต่สมัยเป็นไทยรักไทย เป็นพลังประชาชน จนเป็นพรรคเพื่อไทย ยังไม่เคยได้อะไร นายทักษิณ บอกว่า เป็นเสี่ยวกัน คุยกันแค่เรื่องงาน ลูบหลังกัน แต่ไม่เกิดความรู้สึก มันไม่ได้รับการตอบแทนเท่าที่ควร ที่ให้ นางผ่องศรี ลง ส.ส. เพราะผมจะเลิกเล่นการเมือง เพื่อไม่ให้เขาใช้ผมเป็นเบ๊ ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน ที่พูดนี่ไม่ได้ด่า นางผ่องศรี ของบ แต่ก็ขอไม่ได้ ต้องมาขอกับพรรคภูมิใจไทย ผมการันตีว่า การตัดสินใจครั้งนี้ถูกต้องแล้ว กลับไปอยู่กับ นายเนวิน ชิดชอบ และ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เสมือนได้กลับไปอยู่กับพี่น้อง ผมมีความสุข” คำพูดดังกล่าวย่อมสะท้อนให้เห็นว่า เขาและครอบครัวอยู่กับพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ยังเป็นพรรคไทยรักไทย และอยู่กับนายทักษิณ ชินวัตร มานาน แต่กลับไม่ได้รับอะไรตอบแทนเท่าที่ควร แถมยังถูกใช้ไม่ต่างจาก “เบ๊”
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากศักยภาพของ ส.ส.พวกนี้ ที่กลายเป็น “งูเห่า” และมีการโหวตสวนมติพรรคเพื่อไทย และหันมาสนับสนุนรัฐบาลเมื่อครั้งการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำ ปี 2566 วาระแรกที่ผ่านมา เมื่อโฟกัสไปแต่ละคนถือว่าเป็นระดับ “ดาวฤกษ์” มีแสงในตัวเอง ในพื้นที่ถือว่าเป็น “บ้านใหญ่” เหมือนกัน ไม่ใช่อาศัยแสงจากคนอื่นเกาะเกี่ยว หรือกระแสจากพรรคเหมือนหลายๆ คน
ดังนั้น สำหรับพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะครอบครัว “ชินวัตร” การเกิดกรณี “งูเห่า” แบบนี้ และการ “ยกทีม” ย้ายพรรคแบบนี้ในทางการเมืองแล้ว ยิ่งมาเกิดในพื้นที่ภาคอีสานที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ถือว่า เสียหายหนักมาก และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างให้คนอื่นทำตาม เนื่องจากรับรู้อยู่เต็มอกว่า ยังจะมีทยอย “ไหลออก” มาอีกเพียบ มันถึงต้องตัดไฟแต่ต้นลม หรือต้องข่มขวัญให้กลัวไว้ก่อน
นั่นจึงเป็นที่มาของการ “ยกขบวนมาขยี้” ถึงที่ และงานนี้ถึงได้มาเป็นขบวนใหญ่ นำทีมโดย “ลูกเถ้าแก่” เพราะนอกจาก “ทายาทโดยตรง” อย่าง “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แล้วยังไปขุดเอา “โอ๊ค” ลูกชายคนโต ลงมาร่วมขบวนด้วย ขณะเดียวกัน ยังมี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ร่วมขบวนและเป็นผู้ร่วมอภิปรายหลักบนเวที มันก็ยิ่งตอกย้ำ ให้เห็นภาพการใช้มวลชนคนเสื้อแดงมาข่มขู่คุกคาม ไม่ให้เอาใจออกห่างดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ด้วยสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปแทบจะสิ้นเชิงแล้ว ในช่วงกว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา ทุกอย่างในภาคอีสานได้เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในช่วง 8 ปีหลังมานี้ มันไม่เหมือนเดิม ที่น่าจับตา ก็คือ การเติบโต และ “รุกคืบ” เข้ามาในภาคอีสานของ พรรคภูมิใจไทย ที่นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล และครอบครัวชิดชอบ ซึ่งเวลานี้ขยายพื้นที่ออกมาจากแถบอีสานใต้มาไกลแล้ว
ประกอบที่ผ่านมา ครอบครัวชินวัตร ของ นายทักษิณ ชินวัตร ได้ละทิ้งไปนาน บรรดามวลชนคนเสื้อแดงก็กระจัดกระจายแยกย้ายไปคนละทิศละทาง ต่างมี “นายใหม่” สังกัด ทำให้พลังอ่อนด้อยลงเรื่อยๆ และยังมีคู่แข่งรายใหม่ที่ขึ้นมาท้าทายโดยตรงอย่างพรรคก้าวไกล ที่เชื่อว่า ในระดับฐานเสียงทั่วประเทศน่าจะได้รับผลกระทบไม่เบาทีเดียว
เมื่อประเมินจากภาพที่เห็นหลายฝ่าย จึงสรุปตรงกันว่า การยกขบวนลงมาของ “ลูกเถ้าแก่” ของนายทักษิณ ชินวัตร ด้วยยุทธการ “ไล่หนู ตีงูเห่า” ในครั้งนี้ มันถึงถูกมองว่า เป็นการ “สร้างภาพให้อลังการ” เท่านั้น แต่เนื้อในกลวงโบ๋ ซึ่งน่าจะรู้ดี แต่ก็พอเข้าใจได้ เพราะต้องทำทุกทางให้ภาพออกมายิ่งใหญ่ แต่ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งมันก็เห็นภาพความถดถอย “ได้ไม่คุ้มเสีย” นั่นแหละ !!