เมืองไทย 360 องศา
สำหรับ “โทนี่” หรือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เวลานี้หากนับช่วงอายุก็ต้องถือว่าอยู่ในวัย “ผู้สูงอายุ” เต็มขั้น และหากต้องการให้เห็นภาพก็เช่น หากเรียก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า “ลุงตู่” แล้วละก็ ก็ต้องเรียก “ลุงโทนี่” หรือ “ลุงแม้ว” เมื่อหลายปีก่อน เพราะเขาเป็นรุ่นพี่ เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 (ตท.10) ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 12 (ตท.12)
แต่อย่างไรก็ดี เรื่องอายุอาจจะเป็นข้อยกเว้นก็ได้ เพราะหลายคนอาจจะแย้งว่าบางคนที่อายุมาก กลับมีแนวคิดร่วมสมัย ทันสมัยล้ำ ไปไกลก็มีซึ่งก็ไม่ว่ากัน
หากจะโฟกัสไปที่ นายทักษิณ ชินวัตร เวลานี้ที่กำลังเคลื่อนไหวทุกรูปแบบ เพื่อให้กับมาสู่จุดสนใจอีกครั้ง และแน่นอนว่า การเคลื่อนไหวเหล่านี้ย่อมมีเป้าหมายทางการเมืองที่วางอยู่ตรงหน้า ในลักษณะที่มี “เดิมพัน” สูงมาก เพราะอาจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ ก็เป็นได้ เพราะหากพลาดเที่ยวนี้แล้วมันก็จะกลับมายาก เนื่องจากด้วยอายุที่มากขึ้นทุกวัน มีความเสี่ยงต่อสภาพ “ตกรุ่น” ตกยุค มากขึ้นทุกที
อย่างไรก็ดี ด้วยสภาพแวดล้อม และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปแทบจะสิ้นเชิงแล้ว เมื่อเทียบกับในยุคเมื่อยี่สิบปีก่อนที่เขามีอำนาจทางการเมือง อีกทั้งตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็ถือว่าได้ห่างหายจาก “อำนาจโดยตรง”แม้ว่าจะชักใยสั่งการผ่านตัวแทน หรือ “นอมินี” ในหลายรัฐบาล แต่ก็นั่นแหละ หลายครั้งที่ไม่ได้ดังใจ
ล่าสุด อย่างที่รับรู้กัน ก็คือ การผลักดัน “ทายาทสายตรง” เข้ามาเป็นตัวแทน คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก เข้ามาเป็นประธานยุทธศาสตร์ด้านนวัตกรรมและการมีส่วนร่วมพรรคเพื่อไทย ควบตำแหน่ง “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย”
แม้หลายคนจะมองออกว่าไม่ต่างจากการ “ส่งลูกเถ้าแก่” เข้ามาคุมก็ตาม แต่สำหรับนายทักษิณ ชินวัตร ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะนอกจากเป็นการแสดงให้เห็นว่า คราวนี้เขา “เอาจริง” แล้ว ยังเป็นการตรึงบรรดาลูกน้องเก่าไม่ให้แตกแถวออกไป หรือไม่ก็ดึงกลับเข้ามาเพื่อร่วมทำศึกใหญ่ ชิงอำนาจรัฐกลับมาอีกครั้ง
แต่อย่างที่บอก และมีการประเมินหลายรอบแล้วว่า คราวนี้มัน “ไม่ค่อยเวิร์ก” เมื่อเปรียบกับครั้งก่อนๆ อย่างน้อยหากเปรียบเทียบกับในยุคของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจเป็นเพราะคนละยุค คนละสถานการณ์หรือเปล่า อีกทั้งคู่ต่อสู้ในตอนนั้น ก็ยังถือว่าห่างไกลกันมาก และสังคมก็ไม่รู้ทันเหมือนกับในตอนนี้ที่ได้รับบทเรียนตรงจากเขามาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะการเปิดโปงจากคนที่เคยรับใช้จากปากของอดีตคนเสื้อแดงหลายคน
ดังนั้น เมื่อทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป อย่างที่เห็น มันก็เป็นตัวเร่งให้ทำให้ นายทักษิณ ชินวัตร ต้องเปลี่ยนแนวทางใหม่ มีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา จากเดิมที่พยายามชู “คนรุ่นใหม่” ถามทางมาล่วงหน้าก่อนที่จะดัน “ลูกสาวคนเล็ก” คือ “อุ๊งอิ๊ง” ลงมา แต่หากประเมินแล้วก็ยัง “ไม่ปัง” อย่างที่คิด คราวนี้ก็มาใหม่ต้อง “โหน” นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ได้รับการเลือกตั้งแบบ “แลนด์สไลด์” ของจริง พยายามเข้ามามีส่วนร่วมกับชัยชนะดังกล่าว
โดยล่าสุด เมื่อวันอังคารที่ 7 มิถุนายน เขาได้กล่าวในคลับเฮาส์ของกลุ่มแคร์บางช่วงบางตอน เช่น “...ถ้าคิดจะเป็นผู้นำแล้วคิดแต่จะขโมยคนของคนอื่น แบบนี้เป็นผู้นำ ไม่ได้หรอก...”
ถ้าผู้นำดีรู้ปัญหา ไม่มีข้าราชการคนไหนอยู่เฉยหรอก เขารู้ปัญหา เขารู้เรื่องหมด อยู่ที่ว่าเขาจะทำหรือเปล่า จะทำแบบรับเงินทอน หรือจะทำแบบตรงไหนตรงมา
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ทำงานแบบขยัน และมีภาวะความเป็นผู้นำ มีความโปร่งใส เวลาลงพื้นที่จุดไหนก็ live ไปด้วย ทำให้ประชาชนได้เรียนรู้และรู้ปัญหาไปด้วย ส่วนไหนทำได้ส่วนไหนทำ ไม่ได้ ประชาชนก็จะได้เข้าใจ เหมือนยุคผมเป็นนายกฯ ผมทำ Workshop ทำงานและถ่ายทอดสดช่อง 11 ตลอดเวลา ทำให้ประชาชนได้เรียนรู้วิธีทำงาน เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ ในบ้านเมือง ไม่ใช่ผู้ว่าฯไม่ทำงาน
มันต้องตรงไปตรงมา วันนี้ตัวอย่างคือ “ดูไบ” เขาทำทุกอย่างมันโปร่งใสหมด คนทำมาหากินเขาก็รู้หมดว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไร เพราะทุกอย่างมันชัดเจน นโยบาย ระเบียบ กติกามันต้องชัดเจน
เพราะฉะนั้นต่อไปเราต้องเปลี่ยนกติกา อะไรที่กฎหมายไม่ได้ห้ามถือว่าประชาชนทำมาหากินได้หมด กฎหมายไม่ควรเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ต้องให้เขาทำมาหากินได้มีความคิดริเริ่มใหม่ๆ ไม่ใช่รอแต่จะให้ผ่านกฎหมาย ไม่งั้นง่อยกินหมด
แล้วที่สำคัญ ภาวะผู้นำของผู้นำต้องดี ถ้าคิดอยากจะเป็นผู้นำแล้วเอาแต่คิดจะขโมยคนของคนอื่น แบบนี้เป็นผู้นำ ไม่ได้หรอก เอาแต่จะแจกกล้วย!! แน่นอนว่าในคำพูดดังกล่าวของ นายทักษิณ ชินวัตร ก็ย่อมมีทั้งจริงและไม่จริง มีความนัยซ่อนอยู่ โดยเฉพาะภาวะผู้นำและความโปร่งใสกับตัวเขาไม่น่าจะพูดได้เต็มปาก เพราะสถานะของเขาถูกตราหน้าว่าเป็นผู้นำที่ทุจริต ถูกศาลตัดสินความผิด ถูกจำคุกหลายคดี ถูกยึดทรัพย์กว่าสี่หมื่นล้านบาท มีการติดสินบนศาล กรณี “ถุงขนมสองล้านบาท” เป็นสิ่งที่ติดตัวเขาแบบดิ้นไม่หลุด
เมื่อวกมาที่กรณีของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ซี่งนาทีนี้ถือว่า “ฟีเวอร์” สุดๆ เพราะยิ่งฟีเวอร์มากเท่าใด มันก็ยิ่งข่มทั้งตัวนายทักษิณ และ “ตัวแทน” ของเขา คือ “อุ๊งอิ๊ง” ลงไปเรื่อยๆ เวลานี้ทุกสายตามุ่งโฟกัสไปที่การเคลื่อนไหวของนายชัชชาติทั้งนั้น สังเกตได้จากการ “ไลฟ์สด” แต่ละครั้งมีคนเฝ้าดูหลายหมื่นคน
และหากสังเกตให้ดี จะเห็นว่าการเคลื่อนไหวของนายชัชชาติจะไม่อิงการเมือง จะสร้างภาพลักษณ์ความเป็น “อิสระ” เป็นผู้ว่าฯของทุกคนตามที่ประกาศเอาไว้ เพราะเชื่อว่าเขาต้องไปไกลกว่านี้แน่นอน
แต่สำหรับ นายทักษิณ นาทีนี้ก็ต้อง “โหน” เอาไว้ก่อน ต้องเกาะขบวนไปให้ได้ เพราะหากสังเกตคำพูดข้างต้นของเขาที่แม้กล่าวชมนายชัชชาติ แต่ก็ไม่วาย “คุยข่ม” เอาไว้อีกเช่น “เหมือนยุคผมเป็นนายกฯ ผมทำ Workshop ทำงานและถ่ายทอดสดช่อง 11 ตลอดเวลา ทำ ให้ประชาชนได้เรียนรู้วิธีทำงาน เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ” ฟังดูเหมือนชม แต่อีกด้านหนึ่งก็เหมือนกับต้องการสื่อให้เห็นว่าเขาเคยทำแบบนี้มาก่อนแล้ว อะไรประมาณนั้น
ดังนั้น สำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร ในเวลานี้ที่สภาพไม่ต่างจาก “คนสูงวัย” คนหนึ่งที่ต้องการความสนใจ ต้องการคนคุยเป็นเพื่อน ขณะเดียวกัน หัวข้อที่มีอยู่ก็ล้วน “หมดมุก” ฉายซ้ำแต่เรื่องราวเก่าๆ ในอดีต เวลานี้เมื่อขบวนชัชชาติ ผ่านหน้าไป ก็ต้อง “โหน” เอาไว้ก่อน แต่ไม่วายขอข่มเอาไว้หน่อย!!