เมืองไทย 360 องศา
การแต่งตั้งให้ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดงให้เข้ามาเป็น “ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย” ถือว่ามีนัยทางการเมืองซ่อนอยู่มากมาย อย่างแรกก็เป็นการ “พลิกเกม” ครั้งสำคัญ สำหรับ “โทนี่” หรือ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ถือว่าเป็น “เจ้าของ” ครอบครัวเพื่อไทย นั่นเอง
ที่ผ่านมา นายทักษิณ ได้ผลักดัน “อุ๊งอิ้ง” แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งเป็น “ลูกสาวคนเล็ก” ให้เป็นทายาทการเมือง โดยเริ่มเข้ามามีบทบาทในตำแหน่งประธานที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมและการมีส่วนร่วมของพรรคเพื่อไทย และควบด้วยการเป็น “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” มีการ “ตีปี๊บ” ขายภาพคนรุ่นใหม่มาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการสร้างกระแส “แลนด์สไลด์” กันอย่างเต็มที่
แน่นอนว่า หากย้อนกลับไปพิจารณาในเวลานั้น ถือว่า นายทักษิณ มีความมั่นใจอย่างมาก เพื่อเชื่อว่า ฝ่ายตรงข้าม คือ “กลุ่มสาม ป.” ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กำลังอยู่ในช่วง “ขาลง” ชาวบ้านเริ่มเบื่อ หลังจากอยู่ในอำนาจมานานร่วม 8 ปีแล้ว
มีการประกาศว่า ในการเลือกตั้งคราวหน้า พรรคเพื่อไทย จะกวาด ส.ส.ทั่วประเทศมากกว่า 250 ที่นั่ง และจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว
“ผมมีหลายแนวทาง รับรองว่า แต่ละแนวทางเนี่ย ส.ส.ที่คิดจะออก รับตังค์เขามาแล้ว ต้องเอาตังค์ไปคืน เที่ยวนี้ต้องชนะแลนด์สไลด์ เพราะว่าชนะธรรมดามันไม่ให้เป็นรัฐบาลหรอก ถ้าแลนด์สไลด์มันไม่กล้าเป็นรัฐบาล ต้องเอาแลนด์สไลด์ชนิดที่ไม่กล้าเป็นรัฐบาล”
นั่นเป็นคำพูดบางช่วงบางตอนของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่กล่าวอย่างมั่นใจเมื่อปลายปี 2564 และมีการเน้นย้ำแบบนี้หลายเรื่อง แต่ที่ต้องจดจำไปกว่านั้นในความมั่นใจในแบบที่ว่า “ชนะโดยไม่แคร์ใคร” โดยที่ผ่านมา เขามักออกมาพูดแบบ “ไล่ส่ง” คนที่แยกวงออกไป
หรือหลังจากนั้น เมื่อราวต้นปี นายทักษิณ พูดย้ำให้เห็นว่า เขาเทิดทูนสถาบันเบื้องสูง แต่มีคนที่ออกจากพรรคเพื่อไทย ไปบอกกับคนอื่นในทางตรงกันข้าม และยังอ้างถึงคนๆ นี้ ที่ ชวน ส.ส.พรรคเพื่อไทย มาอยู่กับเขา โดยอ้างว่า พรรคเพื่อไทย ถูกยุบแน่ และยังกล่าวอีกว่า...
“เมื่อไปถึงพื้นที่ ก็ไปบอกคนในพื้นที่อีกว่า นี่เป็นพรรคสาขากัน เลือกใครก็เหมือนกันแหละ สับสนกันไปหมด ดังนั้น ผมถือว่าใครออกจากพรรคเพื่อไทย ถือเป็นลูกน้องเก่า แวะมาดูไบก็กินข้าวกับผมได้ตลอด ขอแค่อย่าด่าพ่อล่อแม่ผมเท่านั้น” คำพูดตอนหนึ่งของ เขาที่กล่าวถึงคนที่ออกจากพรรคเพื่อไทย คนนั้น
การพูดครั้งนี้ ที่ต้องถอดรหัสมีอยู่สองเรื่อง ก็คือ เรื่องแรกที่เขาย้ำในเรื่อง “การจงรักภักดี” กับการ “ตัดเชือก” กับคนที่ออกไปจากพรรคเพื่อไทย ทั้งไปตั้งพรรคใหม่ หรือไปสังกัดพรรคอื่น โดยย้ำว่าไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว
เรื่องการจงรักภักดีนั้น หากมองอีกมุมหนึ่งตอนที่พูด น่าจะต้องการเสียงสนับสนุนจากมวลชนคนส่วนใหญ่ที่ยังรักสถาบันฯ โดยถึงกับ “เตะทิ้ง” พวก “ม็อบสามนิ้ว” อย่างไม่ไยดี และหากจำกันได้เขาเคยพูดเตือนสติบรรดา “แกนนำเด็กๆ” ของม็อบ ว่า “มีเรื่องเข้าใจผิด” เกี่ยวกับสถาบันเบื้องสูงหลายเรื่อง ทำให้ถูกตอบโต้ออกมาจากบางคน เช่น “เพนกวิน” นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ มาแล้ว แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นรุนแรงนัก เพราะต่างฝ่ายยังต้องพึ่งพากันอยู่ในที แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า “ทักษิณไม่แคร์” เพราะตอนนั้นมั่นใจว่า ทุกอย่างกำลังไปได้สวย และเข้าทาง
แต่กลายเป็นว่า เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างเริ่มกลายเป็นตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็นการดัน “ลูกสาวคนเล็ก” คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นมาก็ “ไม่ปัง” อย่างที่คาด กลายเป็นจุดอ่อนที่เยาะเย้ย ไม่ต่างจาก “บริษัทในครอบครัว” เป็นการเมืองที่ตกยุค ถอยหลังลงคลอง อีกทั้งตัวของ น.ส.แพทองธาร ทั้งด้วยวัยวุฒิ และแบ็กกราวนด์ ก็ถือว่ายังไม่มีความโดดเด่นอะไรมากนอกเหนือจากเป็นเพียง “ลูกเถ้าแก่” เท่านั้น
ประกอบกับยังเป็นช่วงที่เกิด “ชัชชาติฟีเวอร์” จากกรณีที่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เอาชนะเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครด้วยคะแนนถล่มทลาย สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ แม้ว่าพรรคเพื่อไทย รวมไปถึง น.ส.แพทองธาร ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย จะพยายาม “เคลม” ในชัยชนะดังกล่าว รวมไปถึงร่วม “โหน” ก็ตาม แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการขึ้นมาของ นายชัชชาติ มันก็ย่อมทำให้เกิดการ “ข่ม” อย่างชัดเจน เพราะชัยชนะของเขามาจากการสนับสนุนของ “คนทุกกลุ่ม” ไม่ใช่คนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย และสนับสนุน นายทักษิณ ชินวัตร อย่างแน่นอน
และยังถูก “งูเห่า” ในพรรคหักหน้า เมื่อครั้งการอภิปรายร่างกฎหมายงบประมาณ ที่ยกขบวน “โหวตสวน” แบบซึ่งหน้า พร้อมประกาศย้ายพรรคยกจังหวัดอีกด้วย
นี่ยังไม่นับเรื่องการเติบโตกลายเป็น “คู่แข่งในทางแคบ” ของพรรคก้าวไกล ที่ช่วงชิงมวลชนไปก้อนใหญ่ในเวลานี้ รวมไปถึงบรรดาคนรุ่นใหม่ที่หันหลังให้กับพรรคเพื่อไทย และ นายทักษิณ ชินวัตร แทบจะสิ้นเชิง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่เคยรู้จักและไม่เคยรับรู้ในช่วงยุคสมัยเมื่อกว่ายี่สิบปีก่อน
สัญญาณดังกล่าวที่เริ่มมองเห็นทำให้ครอบครัวเพื่อไทย เริ่ม “ปรับท่าทีใหม่” สังเกตได้จากก่อนการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ไม่กี่วัน น.ส.แพทองธาร ได้เรียกร้องให้คนเสื้อแดง กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง จากที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยสนใจไยดี อาจจะเป็นเพราะมั่นใจว่าพวกเขาต้องพึ่งพาอาศัยชายคาเพื่อไทย หรือครอบครัวชินวัตร และไม่เคยแคร์หากใครแยกตัวออกไปหา “นายใหม่” ก็ตามที
ล่าสุด ก็ดึง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. หรือ “คนเสื้อแดง” ให้กลับมามีบทบาทอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ ปล่อยให้ “เคว้งคว้าง” ล่องลอยไปพักใหญ่ แน่นอนว่า สำหรับเจ้าตัวก็ต้องพอใจ เนื่องจากเห็นว่า “นาย” ให้ความสำคัญขึ้นมา กลับมาเรียกใช้ แต่นั่นก็สะท้อนภาพของการปรับท่าทีใหม่ของ “ครอบครัวชินวัตร” ที่ต้องหันกลับมามองสถานการณ์ตามความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่คาดคิด
ดังนั้น ด้วยปัจจัยที่เสี่ยงต่อสถานการณ์ที่ “พลิกผัน” เหนือการคาดหมาย ทำให้ “ครอบครัวทักษิณ” ต้องเปลี่ยนเกมใหม่อย่างรวดเร็ว การออดอ้อนให้มวลชนคนเสื้อแดงให้กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันใหม่ มันก็สะท้อนภาพได้อย่างดี ตรงกันข้ามกับก่อนหน้านี้ที่ไม่เคยเห็นหัว เคยประกาศก้องแบบ “ตัดเชือก” ใครที่แยกตัวออกไปก็เป็นแค่คนเคยรู้จักทางใครทางมัน แต่มาวันนี้เมื่อทุกอย่าง “ไม่ชัวร์” ก็ต้องปรับท่าที เดินเกมใหม่ !!