ไม่ให้ราคา! “ฟอร์ด เส้นทางสีแดง” ฟันธง “เต้น-ณัฐวุฒิ” นั่ง ผอ.ครอบครัว พท. ไร้ความหมาย ชี้ “แดงหัวก้าวหน้า” ตาสว่างแล้ว “เจ้าตัว” ปลุกใหญ่ เลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์หยุดเผด็จการ “ไมค์” หวังสู้ไปกับคนรุ่นใหม่
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (15 มิ.ย. 65) กรณี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ดึง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือ “เต้น” แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ไปเป็น ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย
ต่อมามีความเคลื่อนไหวจากคนเสื้อแดงบางกลุ่มเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดย เฟซบุ๊ก “ฟอร์ด เส้นทางสีแดง” ของ นายนุรักษ์ เจนตวนิชย์ ซึ่งเป็นแนวร่วมกลุ่มคนเสื้อแดง โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นว่า
“ปลายปีที่แล้ว พรรคเพื่อไทยเปิดแคมเปญครอบครัวเพื่อไทย ตั้ง อุ๊งอิ๊ง บุตรสาวคุณทักษิณเป็นหัวหน้า จัดงานใหญ่ที่อุดรธานี มีโมเมนต์ที่คุณหมอชลน่าน โค้งคำนับบนโพเดียมอย่างสวยหรู ไม่ต่างจากบ๋อย
คิดนโยบายแจกผ้าอนามัยฟรี กีดกันคนที่ไม่ใช่พรรคพวกตนเองออกนอกพรรค รับอดีต ส.ส.งูเห่า อย่าง นายบุญจง กลับเข้าพรรค เป็นนักมวยก็ชกสะเปะสะปะโดนคนเสื้อแดงด่าเปิง
ผมเคยวิเคราะห์ว่า คนเสื้อแดงอยู่ได้โดยไม่มีพรรคเพื่อไทย แต่พรรคเพื่อไทยอยู่ไม่ได้หากไม่มีคนเสื้อแดง และนั่นคือ ความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้
วันนี้มีข่าวพรรคเพื่อไทย เตรียมตั้งแกนนำ นปช. อย่าง ณัฐวุฒิ เป็น ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย หมายดึงมวลชนคนเสื้อแดงกลับพรรคเพื่อไทย มีมิตรสหายถามไถ่มาทางไลน์ ว่า คิดอย่างไร ผมตอบอย่างไม่ต้องคิดว่า ไม่มีผลอะไร
แน่นอนว่า เป็นเรื่องที่ดีที่พรรคเพื่อไทย เปิดพื้นที่ให้แกนนำคนเสื้อแดงอย่างณัฐวุฒิ ได้กลับมามีบทบาทในพรรค แต่ (ด้วยความเคารพแนวร่วมทุกท่าน) ผมไม่คิดว่าจะมีผลทำให้คนเสื้อแดงกลุ่มหัวก้าวหน้า ที่ไปสนับสนุนพรรคก้าวไกล หันกลับมาสนับสนุนพรรคเพื่อไทย
คนเสื้อแดงผ่านการต่อสู้มานับทศวรรษ กว่าครึ่งได้พัฒนาเป็นคนเสื้อแดงกลุ่มหัวก้าวหน้า คำว่า คนเสื้อแดงหัวก้าวหน้าไม่ได้หมายถึงคนเสื้อแดงที่มีการศึกษาสูง หรือมีฐานะร่ำรวย หรือเป็นคนชั้นกลางขึ้นไป คนเสื้อแดงหัวก้าวหน้าอาจอยู่ชนบทบ้านนอกตามไร่นาป่าเขา คนเสื้อแดงหัวก้าวหน้า อาจเป็นคนยากจนหาเช้ากินค่ำ แต่พวกเขาติดตามการเมืองมานานจนเข้าใจแล้ว ว่าตราบใดที่ยังไม่มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ และ การแก้ไขมาตรา 112 อันเป็นเครื่องหมายถึงความเท่าเทียมของมนุษย์ตราบนั้นประชาธิปไตยก็จะยังไม่พัฒนา
ให้พรรคไหนเข้ามาบริหารบ้านเมืองก็จะถูกทหารปฏิวัติ ถูกศาลรัฐธรรมนูญขับไล่นายกฯที่ชนะเลือกตั้ง การจะดึงมวลชนแดงก้าวหน้ากลับมาเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย ให้เกิดแลนด์สไลด์พรรคเพื่อไทย จะต้องมีความชัดเจนในสองเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้น จะดึงใครกลับบ้านก็ไร้ความหมาย
#พรรคเพื่อไทยต้องเสนอแก้กฎหมาย 112 และปฏิรูปสถาบันเท่านั้น จึงจะเกิดแลนด์สไลด์ #การยอมรับความจริงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้” (จากไทยโพสต์)
ขณะเดียวกัน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย กล่าวถึงการเข้ารับภารกิจผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ว่า ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนเสื้อแดง ได้เดินทางมาเป็นเวลา 10 กว่าปี แม้ถูกเหยียดหยาม แต่ก็ยังยืนยันจุดยืนคนเท่ากัน และประเทศนี้ต้องการประชาธิปไตยที่ประชาชนทุกคนจะมีอำนาจในการปกครองประเทศอย่างแท้จริง
แต่เมื่อมายืนอยู่บนเวทีนี้กับบทบาทหน้าที่นี้ ขอให้เข้าใจว่าเวทีนี้ คือ เวทีครอบครัวเพื่อไทย ที่จะเดินหน้าคู่ขนานไปกับพรรคเพื่อไทย เพื่อต่อสู้ในสนามเลือกตั้ง ช่วงชิงอำนาจจากรัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการ ซึ่งไม่ใช่ภารกิจเฉพาะของสมาชิกพรรคเพื่อไทย หรือครอบครัวเพื่อไทย หรือเฉพาะแต่เพียงคนเสื้อแดงเท่านั้น เราต้องเปิดประตูทุกบานและหัวใจทุกห้อง ยื่นมือออกไปสุดแขน เหยียดออกไปทุกมุมของสังคมไทยที่หมายรวมถึงคนไทยทุกคน อันเป็นพันธสัญญาที่เราจะยืนยันร่วมกันว่า ไม่มีเวลาให้รัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการชุดนี้อีกต่อไป และประเทศนี้ไม่เหลืออะไรให้รัฐบาลประยุทธ์จะกัดกินอีกต่อไป
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เหตุผลส่วนตัวที่กลับมาที่นี่ เพราะที่นี่คือบ้าน
สำหรับเหตุผลโดยส่วนรวม คือ เรามีภารกิจร่วมกัน สำหรับคนไทยทั้งประเทศ คือ ต้องเอาชนะรัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการชุดนี้ หยุดความเพ้อฝันของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตรงนี้ และคืนความหวัง ความฝันที่เป็นจริงให้ประชาชน ให้คนไทยมีรัฐบาลที่มีความสามารถ มีประสบการณ์และสามารถทำได้จริง การชนะเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในสถานการณ์ภายใต้กติกาอัปยศนี้
ดังนั้น ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง เราจำเป็นที่จะต้องมีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งในฝ่ายประชาธิปไตยคว้าชัยชนะให้ได้อย่างเด็ดขาด ให้ได้คะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่งของสภา แลนด์สไลด์ให้เผด็จการไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพื่อให้เห็นอย่างชัดเจนว่าประชาชนมีฉันทามติเลือกพรรคการเมืองหนึ่งแลนด์สไลด์ทั้งประเทศ และเมื่อถึงวันนั้น ส.ว.ที่มีโอกาสลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี ก็จะถูกเรียกร้องให้เคารพเสียงของประชาชนและต้องตัดสินใจตามเสียงของประชาชน
“ผมเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า ถ้าจะมีพรรคใดพรรคการเมืองหนึ่งได้คะแนนเสียงเกินครึ่งแบบแลนด์สไลด์ นั่นคือ พรรคเพื่อไทย ผมเททั้งหัวใจเพื่อภารกิจนี้ และจะทำสุดความสามารถ เพื่อชัยชนะของพรรคเพื่อไทย และจะทุ่มเททุกความคิด ทุกกำลังความรู้ความสามารถ ทุกเม็ดเหงื่อเพื่อภารกิจผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย จนกว่าชัยชนะจะเป็นของประชาชน”(จากสยามรัฐออนไลน์)
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพจเฟซบุ๊ก ภาณุพงศ์ จาดนอก อยู่กับ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โพสต์ข้อความระบุว่า
“# พี่เต้น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กลับเข้า #เพื่อไทย ในตำแหน่งผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย มีคนถามผมว่า คิดเห็นอย่างไร? ผมก็ตอบได้เต็มปากว่า ผมดีใจและขอแสดงความยินดีกับพี่เต้น 🙏🎉
ผมเชื่อมั่นในตัวพี่เต้นเป็นอย่างมาก ครั้งแรกที่ผมได้เจอพี่เต้น คือ ตอนที่ผมเข้าเรือนจำ พี่เต้นดูแลผมอย่างดี และให้กำลังใจกับผมด้วยประโยคที่ว่า “น้องเป็นนักสู้ ไม่ใช่นักโทษ” ผมประทับใจและรู้สึกมีกำลังใจแบบฮึกเหิมตลอดเวลาที่อยู่ในนั้น
พี่เต้นไม่เคยชี้นำหรือบงการการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ แกบอกแค่แกเคารพการต่อสู้ของพวกเรา และแกเห็นด้วยกับพวกเรา
วันนี้พี่เต้นกลับเข้าสู่สนามการเมืองอีกครั้ง ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าพี่เต้นยังคงร่วมสู้ไปกับคนรุ่นใหม่ และจะให้ความสำคัญกับคนรุ่นใหม่อย่างที่พี่เต้นเคยทำตลอดมา
#รักพี่เต้น
#เต้นณัฐวุฒิ
#เพื่อไทย”
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ การกลับเข้าพรรคเพื่อไทยในตำแหน่ง ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย ของ นายณัฐวุฒิ มีประเด็นที่น่าวิเคราะห์อยู่หลายประเด็น
ประเด็นแรก จากคะแนนเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ของ “ชัชชาติ” ที่ได้รับเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย กว่า 1.3 ล้านคะแนน ส่วนหนึ่งมาจากคะแนนของ กลุ่ม 3 นิ้ว หรือ คนรุ่นใหม่ อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งถ้าว่ากันตามจริง คะแนนส่วนนี้ เป็นของพรรคก้าวไกล แทบจะทั้งหมด
ประเด็นที่สอง เมื่อไม่นานมานี้ แกนนำคนเสื้อแดง ออกมาแสดงความเห็นถึงขบวนเสื้อแดง ว่า ไม่ได้อยู่กับพรรคเพื่อไทยพรรคเดียว เนื่องจากคนเสื้อแดงมีอิสระที่จะสนับสนุนพรรคไหนก็ได้ ถ้ามีแนวทางต่อสู้อันเดียวกัน สำหรับพรรคเพื่อไทย จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า มีอุดมการณ์เดียวกับคนเสื้อแดง คือ ต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ จึงจะดึงคนเสื้อแดงกลับบ้านได้
เรื่องนี้สอดคล้องกับ “ฟอร์ด เส้นทางสีแดง” วิเคราะห์ว่า “แดงหัวก้าวหน้า” เลือกที่จะอยู่กับพรรคก้าวไกล เพราะอุดมการณ์การต่อสู้ชัดเจนกว่าพรรคเพื่อไทย
ประเด็นที่สาม ณัฐวุฒิ ซึ่งเคยเป็นนักการเมืองของพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ คนเสื้อแดงที่ต่อสู้เพื่อพรรคเพื่อไทย และนายทักษิณ ชินวัตร ล่าสุด เป็นแกนนำคนเสื้อแดง ที่ร่วมในขบวนการเคลื่อนไหวกับ “กลุ่ม 3 นิ้ว” โดยจัด “คาร์ม็อบ” หลายครั้ง
ทั้งหมด เมื่อนำมาเชื่อมโยงกันเป็น “ยุทธศาสตร์” ก็จะทำให้เห็นว่า การที่พรรคเพื่อไทย ให้ราคากับ “ณัฐวุฒิ” ก็เพราะสามารถเชื่อมต่อ หรือ เป็น “จิ๊กซอว์” กับ กลุ่ม 3 นิ้ว หรือ คนรุ่นใหม่ได้
เพราะอย่าลืม คนเสื้อแดงหัวก้าวหน้า ก็คือ กลุ่ม 3 นิ้วบางส่วนในปัจจุบัน และการที่ “ณัฐวุฒิ” เป็นทั้งแกนนำคนเสื้อแดงในอดีต กับ แกนนำ “คาร์ม็อบ” ของ กลุ่ม 3 นิ้ว ก็ยิ่งชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทย ต้องการคะแนนเสียงจากคนกลุ่มนี้ เพื่อเติมเต็ม “ชนะแบบแลนด์สไลด์” หรือ ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายนั่นเอง
และพลันที่ได้รับแต่งตั้งเป็น ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย “ณัฐวุฒิ” ก็แสดงบทบาททันที โดยปลุกให้มีการเลือกตั้งแบบ “ยุทธศาสตร์” เพื่อเอาชนะการสืบทอดอำนาจเผด็จการ โดยเลือกพรรคฝ่ายประชาธิปไตยให้ถล่มทลายพรรคเดียว คือ พรรคเพื่อไทย เพื่อให้เผด็จการไม่กล้าหักมติประชาชน ส.ว.ก็ไม่กล้าฝืนกระแสความต้องการของประชาชน เป็นทางเดียวที่จะหยุดการสืบทอดอำนาจเผด็จการได้
พูดง่ายๆ ก็คือ ยึด “ชัชชาติ โมเดล” นั่นเอง
คำถามก็คือ พรรคก้าวไกล และพรรคอื่นที่อยู่ในฝ่ายเดียวกันจะยอมหรือไม่ เพราะไม่เพียงตั้งหน้าตั้งตาแย่งฐานเสียงพรรคก้าวไกล หากแต่ยังปลุกกระแสเลือกพรรคเพื่อไทยพรรคเดียวอีก มันจะมากไปหรือเปล่า ก็ไม่รู้สินะลองคิดดูก็แล้วกัน