xs
xsm
sm
md
lg

การเปลี่ยนแปลงที่ยากจะทัดทาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



มองกันว่าชัยชนะของชัชชาติ สิทธิพันธุ์นั้นเป็นฉากแรกของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ข้อเรียกร้องของคนรุ่นใหม่และฝ่ายที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย และเป็นฉากสุดท้ายของรัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจ

ตอนนี้มวลชนของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลจึงลิงโลดและเกรี้ยวกราด กระทั่งยอมไม่ได้ที่การตรวจสอบของ กกต.ตามขั้นตอนก่อนจะรับรองชัชชาติจะเนิ่นนานวันออกไป ราวกับบุคคลที่ไม่อาจแตะต้องได้เป็นอภิสิทธิชนเพราะมีเสียงกว่า 1.3 ล้านคนเป็นเครื่องการันตี

มันเป็นการส่งสัญญาณหรือไม่ว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงจะพัดกระหน่ำในการเมืองไทย

เรารู้กันอยู่แล้วว่าแม้รัฐบาลประยุทธ์จะมาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นการเลือกตั้งด้วยกลไกที่ คสช.เขียนขึ้นให้ได้เปรียบ ด้วยการแต่งตั้ง 250 ส.ว.กับมือและให้อำนาจ ส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงเหมือนหวยล็อก

ไม่เพียงแต่เท่านั้นรัฐธรรมนูญยังให้อำนาจ ส.ว.สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้ถึง 5 ปีนั่นหมายความว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าอำนาจของ ส.ว.ก็ยังคงอยู่ในขณะที่ ส.ส.จะต้องเลือกตั้งเข้ามาใหม่ เจตนาของการเขียนรัฐธรรมนูญแบบนี้ก็เพื่อให้มีการสืบทอดอำนาจไปถึง 2 สมัยหรือ 8 ปีนั่นเอง ซึ่งหากทำสำเร็จเท่ากับว่ารัฐบาลของ คสช.จะอยู่ในอำนาจต่อเนื่องถึง 13 ปี

แต่ฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลก็มั่นใจว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า กลไกของ ส.ว.จะไร้ประสิทธิภาพ เพราะไม่อาจฝ่าฝืนเสียงของมติมหาชนได้ เพราะเชื่อว่า เสียงของฝ่ายตรงข้ามจะมีมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.นั่นเท่ากับจะกดดันให้ ส.ว.ยกมือสนับสนุนเสียงของฝ่ายที่มีจำนวนมากกว่า เพราะหากยังทุรังยกมือให้ฝ่ายสืบทอดอำนาจถึงแม้จะเป็นรัฐบาลได้ ก็ไม่อาจบริหารประเทศได้

ทั้งนี้ ถ้าจะเป็นอย่างนั้นได้ฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยจะต้องแลนด์สไลด์ให้ได้จริง ไม่ใช่ราคาคุยที่ขู่ฟ่อพรรคฝ่ายรัฐบาลอยู่ตอนนี้

แม้จะดูสัดส่วนของประชากรแล้วต้องยอมรับว่า ชัยชนะของฝ่ายค้านในการเลือกตั้งครั้งหน้าอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินจริง เพราะมีคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 18-40 ปี ส่วนใหญ่แล้วไม่ยอมรับรัฐบาลพร้อมจะไปลงคะแนนให้พรรคฝ่ายค้าน เพียงแต่ว่าจะลงให้พรรคเพื่อไทยหรือพรรคก้าวไกลเท่านั้นเอง

ดังนั้นในการเลือกตั้งครั้งหน้าคู่แข่งที่สำคัญของพรรคเพื่อไทยที่ทักษิณหวังว่าจะสามารถแลนด์สไลด์เพื่อพาลูกสาวสุดที่รักอุ๊งอิ๊ง แพรทองธาร ชินวัตร ให้เป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุด ก็คือพรรคก้าวไกล ฝ่ายค้านร่วมกันนั่นเอง

ในตอนนี้พล.อ.ประยุทธ์ที่อยู่ในอำนาจมาแล้วเกือบ 8 ปี และหากสามารถผ่านด่านศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องวาระ 8 ปีไปได้ในเดือนสิงหาคม ก็น่าจะอยู่ไปจนครบสมัยรวมกันเป็น 9 ปี ก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุดทันที การอยู่ในตำแหน่งที่ยาวนานนี่แหละที่เป็นจุดอ่อน เพราะคนเห็นศักยภาพในการบริหารแล้วว่า ความสามารถของพล.อ.ประยุทธ์นั้นมีเพียงใด แล้วจะยอมให้อยู่ในอำนาจอีก 4 ปีจนเป็น 13 ปีเช่นนั้นหรือ

ปัจจัยสำคัญอีกอย่างที่จะเป็นตัวตัดสินอนาคตของพล.อ.ประยุทธ์ก็คือ อารมณ์เบื่อของคนไทย และอยากจะลองให้คนอื่นเข้ามาบริหารประเทศได้ ถ้าฝ่ายรัฐบาลสามารถจับอารมณ์ของคนไทย ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ หาคนใหม่ที่สังคมยอมรับเข้ามาแข่งขัน ไม่ใช่ดันให้พล.อ.ประยุทธ์เดินหน้าต่อไปอีกสมัย

แต่นั่นแหละสำหรับฝ่ายรัฐบาลตอนนี้นอกจากพล.อ.ประยุทธ์แล้ว ยังไม่เห็นเลยว่าจะมีใครที่เป็นตัวตายตัวแทนได้ ในขณะที่ฝ่ายค้านนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทักษิณคนเดียว ส่วนฝั่งก้าวไกลนั้นคงจะชูพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แน่ๆ แต่ด้วยความสุดโต่งของพรรคนี้ ก็ให้ตัดพิธาออกไปจากสมการได้เลย เพราะเชื่อว่า แม้พรรคเพื่อไทยของทักษิณสามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ ก็คงไม่เอาพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลอย่างแน่นอน

เพราะพรรคก้าวไกลแสดงออกอย่างชัดเจนว่า สนับสนุนการเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ของคนรุ่นใหม่ และแสดงออกชัดเจนในการท้าทายการดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรงในสังคมไทย

ชัยชนะที่จะแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเรามองย้อนไปในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ภายใต้อำนาจเด็ดขาดของ คสช. พรรคเพื่อไทยที่ส่งเลือกตั้งเพียง 200 กว่าเขต ยังได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นอันดับ 1 และหากพรรคไทยรักษาชาติไม่ผิดพลาดจนถูกยุบพรรค พรรคของทักษิณทั้งสองพรรคจะมีจำนวนส.ส.ที่มากกว่านี้ และในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่ได้อยู่ใต้ร่มเงาอำนาจจากปลายกระบอกปืนของ คสช.อีกแล้ว และยังเป็นการเลือกตั้งที่กลับไปใช้บัตรสองใบ แบบที่พรรคไหนได้ ส.ส.เขตเยอะยิ่งจะได้บัญชีรายชื่อเยอะ พรรคเพื่อไทยจึงได้เปรียบทุกพรรคอย่างแน่นอน

นอกจากนั้นในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วอดีต ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยจำนวนมากถูกบีบและกดดันให้ไปร่วมกับพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งครั้งหน้าหลายคนคงจะกลับไปสู่พรรคเพื่อไทยตามการเรียกขานให้กลับสู่พรรคของทักษิณด้วยการเขย่าขวัญว่า พรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์นั่นเอง

ถามว่าถ้าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลในการเลือกตั้งหน้า ภาวการณ์ในทางการเมืองในเชิงโครงสร้างและระบอบจะเปลี่ยนแปลงไปไหม ก็เชื่อว่าน่าจะไม่เปลี่ยนไปนัก เพราะอย่างที่ว่าไว้แล้วว่าทักษิณน่าจะฉลาดพอที่จะไม่ดึงพรรคก้าวไกลเข้ามาร่วมรัฐบาล เพราะเป็นที่รู้กันว่า เป้าหมายสูงสุดของทักษิณจะทำอย่างไรให้สามารถกลับมาประเทศไทย และทักษิณคงได้รับบทเรียนมาแล้วเมื่อตอนที่มีอำนาจล้นฟ้าแล้วก้าวล้ำเส้นที่สังคมไทยจะยอมรับได้ไป

แม้ตอนนี้ยังไม่รู้หรอกว่าด้วยเงื่อนไขของกฎหมายและอีกหลายคดีที่ยังค้างคาอยู่จะทำให้ทักษิณกลับบ้านได้อย่างไร แต่ส่วนตัวเขาคงเชื่อว่า เป้าหมายแรกที่ต้องไปให้ถึงก่อนคือชนะเลือกตั้งแล้วตั้งรัฐบาลให้ได้

ถ้าพรรคของทักษิณสามารถกวาดได้เสียงข้างมากและแลนด์สไลด์ได้อย่างที่ส่งเสียงฮึ่มๆ อยู่ในตอนนี้ อาจมีข้อดีคือ เสียงของพรรคก้าวไกลจะลดลงเพราะอยู่บนฐานเดียวกัน และหากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลแล้วพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้านในการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็จะลดทอนพลังของฝ่ายที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยลง เพราะทักษิณคงจะรู้ดีว่าจะต้องประนีประนอมกับใคร

ถามว่าการมองเห็นเช่นนี้เท่ากับมองไม่เห็นชัยชนะของพรรคร่วมรัฐบาลตอนนี้จะกลับมาเลยหรือ เราต้องยอมรับความจริงว่าพรรคร่วมรัฐบาลตอนนี้ที่ยังแข็งแกร่งก็มีเพียงพรรคภูมิใจไทยพรรคเดียว ส่วนพรรคพลังประชารัฐนั้นวันนี้ไม่มีสภาพแข็งแกร่งแบบเดิมเหมือนในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วอีกแล้ว ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็นับวันจะอ่อนแอลง แค่รักษาจำนวน ส.ส.ไม่ให้ลดลงจากครั้งนี้ก็น่าจะยากแล้ว

แม้ทั้งสองขั้วการเมืองจะมีพลังมวลชนหนุนหลังที่ไม่แตกต่างกันนัก ระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมกับฝ่ายที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย แต่ดูแล้วสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้นยากจะทัดทานจริงๆ

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น