ข่าวปนคน คนปนข่าว
**รมว.พาณิชย์ มีไว้ทำไม? “จุรินทร์” ปัดสวะค่ากลั่นน้ำมัน ทั้งที่มีอำนาจตามกฎหมาย แถมนั่งเป็นบอร์ด กพช.
“ค่าการกลั่นน้ำมัน” ที่มีการแฉว่าช่วงนี้โรงกลั่นโกยกำไรเละ ขณะที่ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัส จนเกิดกระแสกดดันให้รัฐบาลหาทางปรับลดลงโดยด่วน เพื่อแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพงทั้งระบบ
เรื่องนี้ถามกันมากว่า เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีคนไหน ใครควรต้องเข้ามาเป็นผู้นำแก้ปัญหาฟาดฟันกับโรงกลั่น? ก็ปรากฏว่า เมื่อสื่อปะหน้า “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ก็ถามใช่เป็นหน้าที่ของท่านหรือไม่? เพราะดูจากอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ซึ่งมี รมว.พาณิชย์ เป็นประธานกรรมการ
ทว่า “จุรินทร์” กลับโบ้ยใบ้ให้สัมภาษณ์สื่อไปว่า กระทรวงพาณิชย์ดูแลน้ำมันแค่เรื่องการปิดป้ายแสดงราคาที่ปั๊มน้ำมัน และมาตรวัดหัวจ่าย ตาม พ.ร.บ.ชั่งตวงวัด เป็นหลักเท่านั้น!!
งานนี้ ใครได้ยินได้ฟังต่างร้องอ้าว!! ส่ายหัวกันเป็นแถว...แบบนี้ก็ได้เหรอ “รมว.จุรินทร์” เจตนาชิ่งหนีเผือกร้อน หรือ ปัดสวะแบบไร้สำนึกรับผิดชอบเกินไปมุ้ย!
เห็นได้ชัดว่า รมว.กระทรวงพาณิชย์ เข้าใจอำนาจหน้าที่ของ กกร. ซึ่งตัวเองนั่งเป็นประธานกรรมการแบบไม่ครบถ้วนถูกต้อง กล่าวคือ
1) กกร. มีอำนาจเกี่ยวกับการกำหนดราคาสินค้า และบริการควบคุมตาม พ.ร.บ.ว่า ด้วยราคาสินค้า และบริการฯ หลายประการ ดังนี้
* มาตรา 24 มีอำนาจประกาศกำหนดให้สินค้าหรือบริการใดเป็นสินค้าควบคุม
* มาตรา 25 มีอำนาจกำหนดมาตรการต่างๆ ที่ใช้สำหรับสินค้าหรือบริการควบคุม อาทิ
* มาตรา 25(1) กำหนดราคาซื้อหรือราคาจำหน่ายสินค้าหรือบริการควบคุม
* มาตรา 25(2) กำหนดอัตรากำไรสูงสุดต่อหน่วยของสินค้าหรือบริการควบคุมที่ผู้จำหน่ายจะได้รับจากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการควบคุม
* มาตรา 25(5) กำหนดให้มีการแจ้งปริมาณ ต้นทุน ค่าใช้จ่าย แผนการผลิต แผนการซื้อ แผนการจำหน่าย ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
* มาตรา 26 มีอำนาจประกาศให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้ซื้อเพื่อจำหน่าย ผู้นำเข้าเพื่อจำหน่ายสินค้าหรือบริการควบคุม แจ้งชื่อ ราคาซื้อ มาตรฐาน คุณภาพ ขนาด ปริมาณ ของสินค้าหรือบริการควบคุมต่อ กกร.
* มาตรา 28 มีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแสดงราคาสินค้าหรือบริการ
* ตามมาตรา 9(10) มีอำนาจเชิญบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาให้ข้อเท็จจริง คำอธิบาย คำแนะนำ หรือความเห็น
2) การกำหนดวิธีการ เงื่อนไขในการแสดงราคาสินค้าหรือบริการควบคุม ตามที่ รมว.กระทรวงพาณิชย์ ให้ข่าวต่อสื่อ เป็นเพียงกรณีที่ กกร. ใช้อำนาจตาม มาตรา 28 เท่านั้น แต่ กกร. ยังมีอำนาจตามมาตราอื่นๆ ที่จะใช้สำหรับกำหนดราคาสินค้าหรือบริการได้อีก เช่น การกำหนดราคาซื้อหรือราคาจำหน่ายสินค้าหรือบริการควบคุม หรือกำหนดอัตรากำไรสูงสุดต่อหน่วยของสินค้าหรือบริการควบคุมที่ผู้จำหน่ายจะได้รับจากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการควบคุม ตามมาตรา 25 ที่กล่าวไปข้างต้น
3) ก่อนที่ กกร.จะใช้อำนาจกำหนดราคาซื้อหรือราคาจำหน่ายสินค้าหรือบริการใด ตามมาตรา 25 ข้างต้น กกร. จะต้องประกาศให้สินค้านั้นเป็นสินค้าหรือบริการควบคุมก่อนตามมาตรา 24 ซึ่งปัจจุบัน กกร. ได้ประกาศให้ น้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซปิโตรเลียมเหลว เป็นสินค้าและบริการควบคุมอยู่แล้ว
4) รมว.กระทรวงพาณิชย์ นอกจากจะเป็นประธานกรรมการ กกร. แล้ว ยังดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)
ส่วน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นอกจากเป็นรองประธานกรรมการ กกร. แล้วยังดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)
นอกจากนี้ อธิบดีกรมการค้าภายใน ซึ่งเป็นเลขาธิการของสำนักงานคณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (สำนักงาน กกร.) ยังเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) อีกด้วย
5) จากข้อมูลข้างต้น กกร. ซึ่งมี รมว.กระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน และปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นรองประธาน ทราบข้อมูลสถานการณ์พลังงานในประเทศเป็นอย่างดี สามารถเสนอ กกร.พิจารณาใช้อำนาจตาม มาตรา 25 กับสินค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมเหลวได้ทันที เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมเหลว ถูกกำหนดเป็นสินค้าควบคุมอยู่แล้ว
หาก รมว.พาณิชย์ หรือ กกร. เห็นว่ายังขาดข้อมูลใด ทำให้ไม่สามารถดำเนินการตามมาตรา 25 ได้ กกร. ก็สามารถใช้อำนาจตาม มาตรา 9(10), มาตรา 25(5), มาตรา 26 เพื่อขอข้อมูลต้นทุน ค่าใช้จ่าย หรือข้อมูลอื่นๆ จากผู้เกี่ยวข้องได้ จึงไม่น่าจะมีข้อขัดข้องใดที่ทำให้ กกร. ดำเนินการเรื่องอื่นนอกจาก มาตรา 28 ตามที่กล่าวได้ เช่น การกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรา 25 ได้
ว่ากันว่า โรงกลั่นวันนี้กำไรเละ โดยค่าการกลั่นเฉลี่ย 5 เดือน (ม.ค.- พ.ค. 65) อยู่ที่ 3.27 บาทต่อลิตร และในเดือน พ.ค. ค่าการกลั่นอยู่ที่ 5.20 บาทต่อลิตร
ข้อมูลในช่วงปี 2563-2564 ระบุว่า ค่าการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 0.70 บาทต่อลิตร และ 0.89 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
สาธุชนทั้งหลายเห็นดังนี้แล้ว ย่อมพิจารณาไตร่ตรองได้เองว่า วิกฤตน้ำมันที่เราเผชิญอยู่นี้ ต้องใช้สติปัญญาร่วมมือกันในการแก้ไข
แน่นอน นอกจากกระทรวงพาณิชย์แล้ว กระทรวงพลังงานเองก็ต้องรับผิดชอบด้วย ซึ่งก็ฟังว่า ทางกระทรวงกำลังอยู่ระหว่างการหารือ เพื่อขอความร่วมมือกับโรงกลั่นในการบริหารจัดการสำหรับช่วงที่เกิดวิกฤตนี้
แต่สำหรับกับ “จุรินทร์” รีบออกตัว ไม่เกี่ยว ไม่ยุ่งโรงกลั่น นี่สรรหาคำจะบรรยายไม่ไหวจริงๆ นอกจากจะต้องตั้งคำถามว่า ...รมว.พาณิชย์ มีไว้ทำไมลุง ?
**นายใหญ่หวนใช้บริการไพร่ ข้าทาสเก่า อวย “เต้น ณัฐวุฒิ” ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย
เมื่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้ายึดอำนาจ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ... บรรดามวลชนคนเสื้อแดงก็แตกฉานซ่านเซ็น ระดับแกนนำหลายคนต้องติดคุก ติดตะราง บ้างก็กลับหลังหัน 180 องศา ไปซบอำนาจใหม่ ใส่เสื้อเหลือง อย่างเช่น “แรมโบ้” เสกสกล อัตถาวงศ์ ที่ได้ดิบได้ดี เป็นข้าราชการการเมือง รั้งตำแหน่ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี อยู่ในทำเนียบรัฐบาล
หรืออย่าง “อานนท์ แสนน่าน” อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดง 4 ภาค กับเครือข่าย ก็เปลี่ยนบทบาทไปเป็น “ประธานหมู่บ้านเทิดไท้องค์ราชันแห่งประเทศไทย” และเพิ่งได้รับการปูนบำเหน็จ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกฯ เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมานี้เอง
เวลาผ่านไป เมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” จับกระแสได้ว่าคนไทยเริ่มเบื่อหน่าย “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์” เขาก็เริ่มเคลื่อนไหว หวังให้ “พรรคเพื่อไทย” หวนคืนสู่อำนาจ ปูทางให้ตนเองได้กลับบ้านอย่างเท่ๆ ด้วยการส่ง “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนสุดท้อง เข้ามารั้งตำแหน่ง ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย พ่วงด้วยตำแหน่ง “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” เตรียมเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคในการเลือกตั้งที่จะมาถึง
“ทักษิณ” ตั้งความหวังว่าลูกสาวสุดรัก จะพาพลพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ ได้จัดตั้งรัฐบาล !!
เมื่อสวมหมวกเป็น “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” นอกจากเข้าร่วมประชุม ทำกิจกรรมร่วมกับแกนนำพรรคแล้ว “อุ๊งอิ๊ง” ก็เริ่มขึ้นเวทีชวนพี่น้องเสื้อแดงกลับบ้าน ร่วมกันสานภารกิจ เพื่อไทยแลนด์สไลด์ ชนะเลือกตั้งทั้งแผ่นดิน มีการจัดงาน “ครอบครัวเพื่อไทย สมุทรปราการ บ้านหลังใหญ่ หัวใจดวงเดิม” ที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียลเวิลด์ สำโรง จ.สมุทรปราการ ไปเมื่อกลางเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา โดยมี “วรชัย เหมะ” อดีต ส.ส.สมุทรปราการ เป็นแม่งาน
และในวันนี้ (15 มิ.ย.) ที่ร้านหนังสือก็องดิด เขตคลองสาน กรุงเทพฯ ...“อุ๊งอิ๊ง” ก็นัดเปิดตัว “เต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลับมาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง พร้อมกับตำแหน่งใหม่... “ผู้อำนวยการโครงการครอบครัวเพื่อไทย”
สำหรับ “เต้น” ถือว่าเป็นแกนนำเสื้อแดงคนสำคัญ ในการเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และได้รับการปูนบำเหน็จเป็น รมช.พาณิชย์ และ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ต่างจากคู่หู “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ที่พยายามลุ้นเก้าอี้รัฐมนตรีอยู่หลายรอบ ก็ไม่สมหวัง
แต่บทบาทในฐานะแกนนำเสื้อแดง “ณัฐวุฒิ” ก็มีคดี และถูกพิพากษาจำคุกไป 2 ปี 8 เดือน จากการชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ... เมื่อได้รับการปล่อยตัว เขาก็ยังคงมาเคลื่อนไหวกับบรรดาม็อบ 3 นิ้ว เมื่อไม่นานมานี้
การกลับมารับตำแหน่ง “ผู้อำนวยการโครงการครอบครัวเพื่อไทย” ครั้งนี้ แน่นอนว่า ต้องได้รับไฟเขียวจาก “ทักษิณ ชินวัตร” ด้วยหวังว่าจะให้ “เต้น” ร่วมเดินสาย ประชาสัมพันธ์ หาสมาชิก ดึงแนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตย รวมทั้งพี่น้องเสื้อแดง ให้กลับบ้านตามที่ “อุ๊งอื๊ง” ได้ประกาศเอาไว้
“เต้น” มีโปรแกรมออกงานแรก ที่ จ.ศรีสะเกษ ในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ ภายใต้ชื่องาน “ครอบครัวเพื่อไทยบุกศรีสะเกษ ไล่หนู ตีงูเห่า” เป็นกิจกรรมพบปะพี่น้องประชาชน รวมทั้งรับสมัครสมาชิกใน 3 อำเภอ คือ อ.อุทุมพรพิสัย อ.ราษีไศล และ อ.ขุนหาญ ซึ่งเป็นพื้นที่ของ “3 ส.ส.งูเห่า” ที่โหวตสวนมติพรรค ในการพิจารณาวาระ 1 ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 66 ที่ผ่านมา
ซึ่ง ส.ส.ทั้ง 3 คน คือ “จาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์, ธีระ ไตรสรณกุล และ ผ่องศรี แซ่จึง” ที่เตรียมย้ายไปอยู่ พรรคภูมิใจไทย ของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล และมีรายงานเชิงลึกว่า ในพื้นที่ภาคอีสาน ยังมี ส.ส.ที่เตรียมไหลออกจากพรรคเพื่อไทยอีกหลายคน
การที่ “นายใหญ่” ต้องหวนกลับมาใช้บริการข้าทาสเก่าอย่าง “เต้น” หวังใช้ฝีปากดึงสมาชิกเสื้อแดงให้กลับมาร่วมสานภารกิจ “แลนด์สไลด์” จะสำเร็จหรือไม่ ต้องติดตาม