เมืองไทย 360 องศา
อาจเป็นเพราะกาลเวลาเปลี่ยนไป สถานการณ์เปลี่ยนไป ทำให้ทุกอย่างต้องเปลี่ยนตาม ไม่มีอะไรเป็นอนิจจังอยู่ตลอดไป หากไม่มีการปรับตัวให้ทันยุค มันก็จะถูกก้าวข้าม หรือถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ขณะเดียวกัน นาทีนี้อยากจะโฟกัสไปที่พรรคเพื่อไทย ที่เริ่ม “อยู่กับที่” ย่ำอยู่กับภาพลักษณ์เดิมๆ ชูจุดขายเดิมๆ อาจจะไม่ประสบความสำเร็จตามที่วาดหวังเอาไว้
แน่นอนว่า เมื่อพูดพรรคเพื่อไทยเมื่อใดก็ตาม ก็ย่อมต้องนึกถึง นายทักษิณ ชินวัตร เนื่องจากแยกไม่ออก และไม่มีทางแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด ซึ่งสังคมก็รับรู้กันมาตั้งนานแล้วว่า พรรคดังกล่าวนี้เป็นของเขา รวมไปถึงกันว่านี่คือ “ธุรกิจครอบครัว” อาจเป็นธุรกิจอีกแบบหนึ่งที่เรียกว่า “ธุรกิจการเมือง”
แม้ว่าในทางกฎหมายจะมีคณะผู้บริหารพรรค มีตำแหน่งต่างๆ ไว้รองรับเหมือนกับพรรคการเมืองอื่นๆ ทั่วไปก็ตาม แต่ที่สังคมรับรู้กันทั่ว ก็คือ พรรคเพื่อไทยยังคงถูกครอบงำ และชี้นำมาจากนายทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวที่ถูกมองว่านี่คือ “เจ้าของพรรค” ที่แท้จริง
หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2544 ที่นายทักษิณ ชินวัตร ได้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ก่อนจะถูกยุบพรรค เนื่องจากทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และเปลี่ยนชื่อมาเป็นพรรคพลังประชาชน จนมาถึงพรรคเพื่อไทย พวกเขาก็สร้างจุดขายของเขามาตลอด ประเภทที่ว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” หรือในยุคหนึ่งที่มีน้องสาว คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นตัวแทนก็ใช้คำพูดว่า “ทักษิณคิดยิ่งลักษณ์ทำ” อะไรแบบนี้
ดังนั้น กว่ายี่สิบปีที่ตั้งพรรคมา ทุกอย่างถูกมองว่ามาจาก นายทักษิณ คนเดียว
แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับกันว่า ในช่วงแรกในยุคพรรคไทยรักไทย นายทักษิณ ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระบบการเมืองและระบบราชการไทยไปมาก รวมไปถึงนโยบายหลักๆ หลายอย่างที่สร้างความจดจำและประทับใจ โดยเฉพาะคนจน หรือที่เรียกว่า “คนรากหญ้า” แต่อีกด้านหนึ่ง มันก็นำมาซึ่งการทุจริตตามมาอย่างมโหฬาร ในหลายรูปแบบ ทั้งทุจริตเชิงนโยบาย ผลประโยชน์ทับซ้อน รวมไปถึงการทุจริตแบบซึ่งหน้า จนมีการกล่าวกันว่า “โกงทั้งโคตร” ก็มี
จนทำให้ชื่อของนายทักษิณ ชินวัตร ขายได้มาตลอด แม้ว่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคใดก็ตาม โดยในปัจจุบันกลายมาเป็นพรรคเพื่อไทย และมีหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค มีคณะกรรมการบริหารพรรค แต่เชื่อหรือไม่ว่าทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่า นโยบายและการบริหารมาจากการชี้นำของ นายทักษิณ เป็นหลัก
หลายครั้งเหมือนกันที่เขาในฐานะ “เจ้าของ” เกิดอาการหงุดหงิด ไม่พอใจบางเรื่องภายในพรรค เช่น การย้ายพรรค ย้ายข้าง จนถึงขั้นเปรียบเทียบเป็น “สุนัขในกรงเลี้ยง” มาแล้ว จนมีการตอบโต้และเปิดโปงกลับไปอย่างเจ็บแสบไม่แพ้กัน จาก นายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตแกนนำคนเสื้อแดง ที่ย้ายข้ามฟากมาอีกฝั่งแล้ว
นั่นเป็นภาพจำของนายทักษิณ ชินวัตร และพรรคการเมืองของเขาในอดีตที่ต่อเนื่องมาเป็นพรรคเพื่อไทยในวันนี้ เป็นการย้ำให้เห็นว่า ชื่อของเขานั้น “ขายได้” และมาวันนี้พวกเขาก็มั่นใจอีกว่า “ยังขายได้” ซึ่งหลายคนก็เชื่อว่าเป็นแบบนั้น เพราะนาทีนี้ยังมั่นใจว่า หากมีการเลือกตั้งเมื่อใดก็ตาม พรรคเพื่อไทยก็ยังเป็นพรรคที่น่ากลัวเสมอ และมีโอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งเหนือพรรคการเมืองอื่น
แต่ก็นั่นแหละ เมื่อเวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน บรรยากาศเปลี่ยน หลายอย่างมันก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไป เหมือนกับในเวลานี้ มีเงื่อนไขใหม่ๆ มีตัวเลือกใหม่เกิดขึ้นมามากมาย จนบางครั้งสังคมส่วนใหญ่อาจมองข้าม นายทักษิณ ไปแล้วก็เป็นได้ อาจมองเป็น “คนตกยุค” ไปแล้วก็ได้ เพราะอย่างน้อยคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งอายุยี่สิบต้นๆ ไม่น้อยที่ไม่เคยรู้จัก หรือเคยสัมผัสกับบรรยากาศทางการเมืองในยุคนั้น ไม่เคยมีภาพจำกับการบริหารงานทางการเมืองในยุคอดีตตั้งแต่เมื่อราวยี่สิบปีก่อน
สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนที่สุด ก็คือ ความพยายามในการผลักดัน “ลูกสาวคนเล็ก” คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เข้ามาเป็น “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” และประธานยุทธศาสตร์พรรค ด้านนวัตกรรมและการมีส่วนร่วม และเป็นที่คาดหมายกันว่า นี่คือ “ตัวแทน” ของเขาในการช่วงชิงอำนาจรัฐกลับมาอยู่ในมืออีกครั้ง
แต่ที่ผ่านมา แม้เขาจะพยายามโหมโรง ตีปี๊บกันแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ยังไม่อาจสร้างกระแสในแบบ “ฟีเวอร์” ได้เลย หลายคนอาจจะแย้งว่า ก็ยังไม่ถึงเวลารณรงค์หาเสียงกันอย่างเต็มที่ก็ได้ แต่หากพิจารณาจากอารมณ์ความรู้สึกทั่วไป ก็ต้องยอมรับว่า “มันยังไม่ได้”
อีกทั้งการเข้ามาของ น.ส.แพทองธาร มันกลับยิ่งตอกย้ำให้เห็นภาพของพรรคการเมืองที่เป็น “ธุรกิจครอบครัว” อย่างชัดเจน มีการเปรียบเทียบเป็นธุรกิจ หรือ “บริษัท” ที่มีการส่ง “ลูกเถ้าแก่” เข้ามาคุมกิจการ อะไรประมาณนั้น
ภาพที่เห็นชัดเจนล่าสุดที่ น.ส.แพทองธาร ไม่อาจไปปรากฏตัวที่จังหวัดสุรินทร์ได้ เนื่องจากติดเชื้อโควิด จึงได้ส่งพี่ชาย คือ นายพานทองแท้ ชินวัตร ไปแทนในฐานะตัวแทนครอบครัว จนหลายคนนำมาล้อเลียนขำขัน
ล่าสุด ยิ่งมาเปิดปรากฏการณ์ “ชัชชาติฟีเวอร์” จากการที่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แบบถล่มทลาย มันก็ยิ่งทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบอย่างชัดเจน และอีกมุมหนึ่งการเข้ามาของ นายชัชชาติ มันเหมือนกับการ “ข่ม” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย จนหมองไปเลย
เพราะชัยชนะของนายชัชชาติ ที่ถล่มทลายดังกล่าว ย่อมมาจากเสียงของคนทุกกลุ่มที่เทมาให้ เนื่องจากการได้เห็นถึงแนวทาง และแนวคิดเฉพาะตัวของเขาที่ถูกจริตกับคนในกรุงเทพฯและคนรุ่นใหม่ จนกลายมาเป็นความหวังในอนาคตของคนทั้งประเทศอีกด้วย
แน่นอนว่า นายชัชชาติ เป็นความหมายของ “คนรุ่นใหม่” ด้วย แม้ว่าด้วยอายุของเขาอาจจะห้าสิบปลายๆ แล้ว อาจเป็นเพราะวิธีคิด รูปแบบการบริหารจนได้ใจ อย่างน้อยในเวลานี้ ขณะที่เมื่อเปรียบกับ น.ส.แพทองธาร แม้ว่าอายุน้อยกว่า แต่คำถามก็คือ เธอมีลักษณะของคนรุ่นใหม่มากแค่ไหน เพราะไม่ว่าจะแบ็กกราวนด์ หรือในปัจจุบันยังไม่อาจพิสูจน์ให้เห็นชัดเจน ขณะที่ นายทักษิณ ชินวัตร ก็ยิ่งแล้วใหญ่ นาทีนี้แม้ว่าจะยังต้องพูดถึง แต่เขาก็คงไม่ใช่ตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวเหมือนเมื่อหลายปีก่อนแล้ว
หลายอย่างไม่ขลังอีกต่อไป อย่างน้อยก็เพิ่งได้เห็น “งูเห่า” ในพรรคเพื่อไทยที่ยั้วเยี้ย ท้าทาย หลายคนก็แยกย้ายไปตั้งพรรคใหม่ ไม่สนใจว่าเมื่อออกไปแล้วจะเป็นการฆ่าตัวตายทางการเมืองแต่อย่างใด หรือแม้แต่พื้นที่ในภาคอีสาน ที่เคยเป็นฐานเสียงสำคัญแบบ “ของตาย” มานานก็ยังถูกท้าทาย อย่างน้อยก็มีพรรคภูมิใจไทย ที่ดูดเอาระดับ “บ้านใหญ่” เข้ามาแบบยกจังหวัดรุกคืบเข้ามาแบบหายใจรดต้นคอ
ดังนั้น ด้วยภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทย และการเข้ามาของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ทายาทสายตรงของ นายทักษิณ ชินวัตร ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงเรื่อง “ธุรกิจครอบครัว” ที่ไม่น่าจะตอบโจทย์การเมืองยุคใหม่ ที่ไม่ต้องการเห็นภาพความผูกขาดรวบอำนาจ ดังจะเห็นว่าแม้จะมีบทบาทค่อนข้างโดดเด่น แต่มันก็ไม่ปังอย่างที่คิด!!