เมืองไทย 360 องศา
ก็ต้องบอกว่า การเคลื่อนไหวล่าสุดของพรรคเพื่อไทย ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊ง” ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เข้ามามีบทบาทนำในพรรค และเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ก็เพิ่งมีการประกาศเชิญชวนบรรดาคนเสื้อแดงที่กระจัดกระจายกันอยู่ในเวลานี้ ให้กลับมารวมพลังให้การสนับสนุนพรรคอีกครั้ง เพื่อเป้าหมายให้มีการชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์
อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค ได้อธิบายถึงแนวทางการรับมวลชนเหล่านั้นกลับมา โดย “ไม่ให้มีคำว่าเสื้อแดง หรือ นปช.” อีกต่อไป
“การที่เราจะชนะแบบแลนด์สไลด์ มากกว่า 250 ที่นั่งขึ้นไป ทุกฝ่ายโดยเฉพาะคนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ต้องร่วมมือร่วมใจกัน ซึ่งฐานผู้ที่ให้การสนับสนุนตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และเกิดขบวนการคนเสื้อแดงขึ้นในช่วงปี 2551-2553 เมื่อเราถูกกระทำและมีรัฐบาล คสช.ขึ้นมา เราถูกตั้งเงื่อนไขให้มีการแยกสลาย แต่ละคนก็กระจัดกระจายกันไป แต่สิ่งสำคัญ คือ กลไกที่จะมารวมตัวกันต้องห้ามปิดกั้น”
“ฉะนั้น ครอบครัวเพื่อไทย จึงเป็นนวัตกรรมที่จะเชิญคนที่มีแนวคิดและอุดมการณ์ที่ต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริงมาร่วมแรงร่วมใจ ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่เราตั้งใจทำ ส่วนใครจะมีส่วนร่วมหรือไม่ขึ้นอยู่กับประชาชนจะตัดสินใจ”
เมื่อถามว่า มีการมองว่า การที่เสื้อแดงกลับมาจะเป็นการสร้างความขัดแย้งใหม่อีกครั้งในสังคม หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า “เราไม่ได้ใช้คำว่าเสื้อแดง ความเป็นเสื้อแดง และ นปช.ยังติดตัวเขา แต่เมื่อคุณมาร่วมงานการเมืองกับเรา เราเชิญชวนให้เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคครอบครัวเพื่อไทย ซึ่งความเป็นครอบครัวเพื่อไทย มีโอกาสในการแสดงออกในเรื่องสิทธิเสรีภาพ โดยเฉพาะสิทธิในเรื่องการเมืองมากกว่าความเป็นเสื้อแดง และ นปช. ที่ถูกจำกัดเรื่องข้อกฎหมายหลายเรื่อง”
แน่นอนว่า เมื่อ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยพูดแบบนี้ ย่อมฟังดูแปลกๆ ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาในรายละเอียดและแบ็กกราวนด์ ก็อาจทำความเข้าใจได้มากขึ้น ทั้งในเรื่องของที่มาของคำพูดแบบนี้ เพราะเชื่อว่าก่อนที่พูดออกมา ก็ย่อมต้องผ่านการหารือ หรือไม่ก็ต้อง “ได้รับคำสั่ง” มาให้พูดแบบนี้แน่นอน
อีกทั้งเมื่อพิจารณาในแง่มุมอีกด้านหนึ่งก็จะพบความจริงที่ว่า บรรดาคนเสื้อแดง หรือ นปช.ในอดีต ซึ่งในที่นี้คงหมายถึง “แกนนำ” ที่ส่วนใหญ่ล้วน “โนเนม” ไม่เป็นที่รู้จัก ที่ผ่านมา ก็มีการเคลื่อนไหวในลักษณะพึ่งพาอาศัยกันระหว่าง พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ต่อเนื่องมาจนถึงพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน กับแกนนำเหล่านั้น และมีการตอบแทนกันไปบ้างแล้ว บางคนได้เป็นรัฐมนตรี มีตำแหน่งทางการเมืองตอบแทน นี่ว่ากันเฉพาะระดับแกนนำที่มีบทบาท มีราคาเท่านั้น ส่วนระดับปลายแถว ก็จะแยกย่อยไปอีกระดับหนึ่งตามศักยภาพและความสำคัญแต่ละบุคคล
ขณะเดียวกัน ตลอดระยะเวลาที่ ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวของเขา รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย ต้องพ้นจากอำนาจรัฐต่อเนื่องกันมานับสิบปี บรรดาแกนนำและคนเสื้อแดงจำนวนมากต่างก็แยกย้ายกันไปหาสังกัดใหม่ บางคนก็ไปเกาะเกี่ยวกับผู้มี “อำนาจใหม่” บางคนก็แยกไปสังกัดพรรคใหม่ เป็น ส.ส.เติบโตในเส้นทางใหม่ไม่น้อย แม้ว่าที่ผ่านมาหลายคนที่ต้องแยกทางดังกล่าวก็อาจมีภูมิหลังที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น ถูกทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี ประเภทที่ออกมาโวยวายฟ้องชาวโลก ประมาณว่า “ไม่ใช้ประโยชน์แล้วถีบหัวส่ง” อะไรประมาณนั้น หรือบางคนก็บอกว่า ตัวเองถูกหลอกใช้ ไม่เคยมีความจริงใจให้กัน ตอนติดคุก โดนคดีก็ไม่เคยมาดูดำดูดี ต้องดิ้นรนไปตามยถากรรม เสียงตัดพ้อ เสียงโกรธเคืองมีให้ได้ยินอยู่เนืองๆ ทำให้หลายคนแยกย้ายออกไป
ขณะที่บางคนถึงกับหันกลับมาเป็นปฏิปักษ์ กับนายทักษิณ ชินวัตร คนในครอบครัวและเครือข่ายของเขาอย่างดุเดือด ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับรู้กันไปแล้วว่ามีใครบ้าง
ส่วนแกนนำคนเสื้อแดงบางคน ปัจจุบันก็มีท่าทีไม่ชัดเจน บางครั้งก็เคลื่อนไหวร่วมกันในลักษณะแบบเฉพาะกิจ ที่เห็นได้ชัดเจน เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ที่เวลานี้ได้เคลื่อนไหวไปอีกทางหนึ่ง แม้จะยังไม่มีการประกาศตัดขาดจากกัน แต่เมื่อพิจารณาจากการเคลื่อนไหวก็ถือว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว
สังเกตจากวันจัดงานรำลึกเหตุการณ์คนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา ก็มีการแยกกันจัดงานอย่างชัดเจน หรือแม้แต่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดงอีกคนหนึ่ง ที่ในระยะหลังเหมือนกับหมดความสำคัญลงไป บางครั้งเหมือนกับถูกกีดกันออกนอกวงไปเลย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกรณี นายเสกสกล อัตถาวงศ์ รวมไปถึง นายอานนท์ แสนน่าน อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดง ที่ปัจจุบันได้ย้ายข้างมาให้การสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล และเป็นมือไม้สำคัญของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในปัจจบัน และยังเคยเปิดโปง นายทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวถึงพฤติกรรมในอดีตอย่างเผ็ดร้อนมาแล้วหลายครั้ง อย่างน้อยก็มีการตอบโต้กันในเรื่อง “หมาในคอกห้าสิบตัว” ดังสนั่น
จะด้วยแบ็กกราวนด์แบบนี้หรือไม่ ที่ทำให้พรรคเพื่อไทย และครอบครัวของนายทักษิณ ชินวัตร ถึงได้ต้องออกระเบียบ กฎเกณฑ์ในการ “สกรีน” คนเสื้อแดง “กลับเข้าคอก” อีกครั้ง หรือไม่ แม้ว่าในเส้นทางข้างหน้ายังต้องการกำลังเข้ามาเพิ่มเพื่อเป้าหมาย “แลนด์สไลด์” แต่หากระดับแกนนำก็ต้องคัดเอาคนที่มีประโยชน์ และซื่อสัตย์แบบนั้นหรือเปล่า
อย่างไรก็ดี เชื่อว่า แนวทางใหม่ดังกล่าวคงทำให้แกนนำคนเสื้อแดงหลายคนคงกระอักกระอ่วนพิกล อย่างน้อยเส้นทางที่จะหวนกลับมาย่อมไม่ราบรื่น หรืออาจจะตีบตันไปเลย เพราะคราวนี้ “เจ้าของคอก” ไม่ค่อยยินดีต้อนรับ แต่เลือกเฉพาะคนที่ใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า หมดยุคประเภทที่เข้ามาเกาะเกี่ยวสร้างราคา อะไรประมาณนี้ แต่ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งมันก็ย่อมทำให้หลายคนเสียความรู้สึกไปด้วย แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อบอกว่าอยู่ “ฝ่ายประชาธิปไตย” แต่เมื่อ “เจ้าของ” บอกว่า “กินไม่ได้” ก็ต้องทางใครทางมัน
ดังนั้น นาทีนี้หากให้พิจารณาจากท่าทีล่าสุดของพรรคเพื่อไทย จากคำพูดของ “อุ๊งอิ๊ง” ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ที่ก่อนหน้านี้ ออดอ้อนให้คนเสื้อแดงกลับมาผนึกกำลังกันให้การสนับสนุนกันอีกรอบ แต่เมื่อได้ฟังคำจำกัดความผ่านทาง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค มันก็ถึงบางอ้อว่า สำหรับระดับ “แกนนำ” นั้นจะสกรีนเลือกเอาเฉพาะคนที่ใช้ประโยชน์ได้เท่านั้น ไม่ใช่ทุกคน !!