เมืองไทย 360 องศา
ผ่านมาวันที่สอง จะล่วงเข้าวันที่สามแล้ว สำหรับการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ที่ถือว่าเป็นการจัดทำงบประมาณครั้งสุดท้ายแล้วสำหรับรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากใกล้จะครบวาระ 4 ปีแล้ว และหากใครที่พอจะได้ติดตามฟังการอภิปรายในสภา แม้จะไม่ได้ติดตามตลอด จะเห็นว่า เป็นลักษณะการอภิปรายที่ไม่ได้แตกต่างไปจากครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะคราวนี้เมื่อผ่านมาสองวันสำหรับฝ่ายค้าน ถือว่า “ยังไม่สมราคาคุย” ไม่เหมือนกับที่เคย โม้ หรือ “ตีปี๊บ” เอาไว้อย่างครึกโครมก่อนหน้านี้
แม้ว่าที่ผ่านมาสำหรับการอภิปรายร่างงบประมาณมันก็มักจะเป็นแบบนี้ นอกเหนือจากเป็นเรื่องตัวเลขที่เป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับหลายคน และจะว่าไปแล้วระดับ ส.ส. ก็มีน้อยคนที่จะมีความเชี่ยวชาญและถนัดในเรื่องการอภิปรายในรายละเอียดและการใช้งบประมาณ ส่วนมากเป็นการอภิปรายในลักษณะภาพรวมๆ กว้างๆ ใช้สำนวนโวหารกล่าวหาโจมตีทางการเมือง
แน่นอนว่า การอภิปรายงบประมาณของพรรคฝ่ายค้านคราวนี้ หากโฟกัสไปที่พรรคเพื่อไทยแล้วนอกเหนือจากอภิปรายโจมตี และคัดค้านการจัดงบประมาณของฝ่ายรัฐบาล โดยพุ่งเป้าไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับฝ่ายค้านที่ต้องทำหน้าที่
แต่ที่ไม่เคยเปลี่ยนเลย ก็คือ การทำหน้าที่ปกป้องนายทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวของเขาเป็นหลัก เอาเป็นว่าไม่ว่าใครก็ตามไป “แตะ” พวกเขาไม่ได้ จะต้องมี ส.ส.และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ออกมาตอบโต้คนที่มีสถานะเป็นนักโทษหลบหนีคดีทุจริตคนนี้ทุกครั้ง
อย่างไรก็ดี การอภิปรายงบประมาณรายจ่ายปี 2566 ยังไม่จบ ก็ต้องรอดูว่าจะมีทีเด็ดในช่วงท้ายๆ หรือไม่ หรือว่าจะมีการตีรวนป่วนปิดเกมกันหรือไม่ ก็ต้องรอดู แต่หากให้ประเมินเปรียบเทียบกับการอภิปรายในแต่ละครั้งที่ผ่านมาก็ต้องปรามาสไว้ล่วงหน้าว่า “ไม่มีลำหักลำโค่น” ที่หนักแน่นพอ ซึ่งก็พอเข้าใจได้ และการอภิปรายงบประมาณมันก็มักจืดชืดทุกครั้ง ต่างกับการ “ซักฟอก” หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ต้องใส่กันเต็มที่
แต่ก็นั่นแหละหากพิจารณากันตามมาตรฐานตามความเป็นจริงก็ต้องบอกว่าฝ่ายค้านในยุคนี้ โดยเฉพาะผู้นำฝ่ายค้านจากพรรคเพื่อไทยตั้งแต่คนก่อนมาจนถึงปัจจุบันมาตรฐานเป็นอย่างไร ก็คงไม่ต้องสาธยายกันให้มาก ทุกอย่างมันฟ้องให้เห็นอยู่แล้ว
หันมาพิจารณากันในฝ่ายรัฐบาลบ้าง นาทีนี้หากมองในภาพรวมๆ ที่ผ่านมาถือว่ายังไม่มีความโดดเด่น แม้ว่าในช่วงหลังๆ จะอ้างวิกฤตระดับโลก ทั้งโรคระบาดโควิด-19 รวมทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ตาม ทำให้ทุกอย่างผิดแผนไปหมด แต่หากพิจารณากันในความเป็นจริงก็ต้องถือว่ารัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี “ไร้แรงกระตุ้น” จนสร้างความหวังให้กับประชาชน ทำให้กลายเป็นช่วง “ขาลง” อย่างรุนแรง อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เหมือนกับว่าทำอะไรก็ผิด ไม่ถูกใจชาวบ้านไปทุกอย่าง
อย่างไรก็ดี เมื่อวกกลับมาที่การอภิปรายงบประมาณในสภาที่บอกไปตั้งแต่ต้นแล้วว่า ผ่านมาสองวันฝ่ายค้านยังไม่มีลำหักลำโค่นหรือมีทีเด็ดที่พอจะโค่นฝ่ายรัฐบาลลงได้เลย ทำให้ยังไม่มีเหตุรองรับอย่างเพียงพอกับการที่ประกาศเอาไว้ว่า “ต้องคว่ำ” ร่างกฎหมายงบประมาณฉบับนี้ อีกทั้งยังมีส.ส.หลายคนของพรรคฝ่ายค้าน อย่างพรรคเพื่อไทย ที่ใช้เวทีสภาปกป้องแก้ต่างให้กับนักโทษหนีคดีทุจริตไปเสียอีก จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาล หากพิจารณาเฉพาะความเปลี่ยนแปลงจะเห็นได้ว่า การอภิปรายคราวนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่เป็น “คนชี้แจงหลัก” ของฝ่ายรัฐบาล และหากมองกันตามความจริง ก็จะเห็นว่าเขามีการปรับเปลี่ยนลีลาท่าทางการอภิปรายตอบโต้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า “ทันเกม” อาจเป็นเพราะผ่านศึกมาอย่างโชกโชน และคราวนี้หากสังเกตจะเห็นว่าจะมีการลุกขึ้น “ชี้แจงตอบโต้ทันที” หากมีการพาดพิง ไม่ปล่อยเอาไว้ให้คนลืม รวมไปถึงฝ่ายรัฐมนตรีคนอื่นๆ ด้วย โดยเน้นๆ เนื้อๆ ทำให้ไม่ออกนอกประเด็น ทำให้ไม่เสียเวลาจนวุ่นวาย
ตัวอย่างที่ทำให้การอภิปรายในสภา แต่ทำให้ “คนแดนไกล” ต้องสะดุ้งจนได้รับบาดเจ็บเลือดสาด ก็คือ การอภิปรายตอบโต้จาก นายกรัฐมนตรีที่ใช้สิทธิพาดพิงตอบโต้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้าน ที่กล่าวหาว่าเป็นรัฐบาล “หมดสภาพ” จัดทำงบประมาณที่ไร้ความหวัง มีแต่สร้างหนี้สาธารณะ โดยบางช่วงที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อภิปรายว่า งบประมาณกว่าจะออกมาได้ต้องให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ไม่ใช่จะให้ใครก็ให้ ไม่เหมือนสมัยก่อนบางคน ท่านพูดมาผมก็พูดไป ได้มีการประกาศไว้ว่าถ้าไม่เลือกก็ไม่ให้
“ในเรื่องส่อโกงต่างๆ ก็ไปพิสูจน์กันในกระบวนการยุติธรรม ถ้ามีหลักฐานก็ฟ้องร้องกันไป กรุณาย้อนกลับไปดูด้วยว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น ในกระบวนการยุติธรรม มีติดคุก หนีคดีหรือไม่ ขอบคุณครับท่านประธานครับ” นายกฯ กล่าว
หรืออีกบางตอนที่ระบุว่า ตั้งแต่ปี 54 โครงการจำนำข้าว ขาดทุน 9.5 แสนล้านบาท รัฐบาลชุดนี้ตั้งงบประมาณชำระหนี้ไปแล้ว 7.8 แสนล้านบาท คงเหลือเงินต้นและดอกเบี้ยอีก 3 แสนล้านบาท ย้ำว่า เราต้องให้เบ็ดตกปลา และต้องให้ปลาไปด้วย เพื่อให้ประชาชนอยู่ได้ อยู่รอดปลอดภัย
“ตอนนี้เราทำโครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆ หารายได้ใหม่ และเรื่องอื่นๆ มีมากมาย ซึ่งต้องใช้เวลาเพื่อเดินหน้า หารายได้เข้าประเทศ ที่ผ่านมามีอะไรใหม่ๆให้ผมดูบ้างไหม ถ้ามีก็บอกผมมา วันนี้ผมบอกทุกวันว่ารัฐบาลทำอะไรแล้วบ้าง สื่อสารทุกวัน แต่ท่านไม่เคยฟัง แต่ผมก็ต้องพูดอยู่ดีเพราะประชาชนรอฟังอยู่ทางบ้าน เดี๋ยวจะหาว่าไม่ดูแลเขา ก็อยากจะบอกว่าถ้าไม่ คงไม่ดูแลขนาดนี้ ส่วนเรื่องหนี้ต่างๆก็เคยชี้แจงไปแล้ว แต่ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมทุกอย่าง บรรยากาศที่นี่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะอภิปรายอะไรก็เหมือนเดิม เพราะถูกฝังชิพไปหมดแล้ว ก็ไม่อยากตอบอะไรรุนแรง พยายามอย่างยิ่งยวดแล้วที่จะไม่ใช้อารมณ์ หลายเรื่องที่ท่านพูดไม่ใช่ข้อเท็จจริง” นายกฯ กล่าว
แต่เอาเป็นว่าเมื่อยังไม่จบก็อย่าเพิ่งสรุปว่าใครเป็นอย่างไร เพียงแต่ว่าผ่านมาวันสองวันมันก็พอจะเห็นแนวโน้มถึงวันข้างหน้าว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ว่าเป็นแบบเดียวกันทุกครั้งหรือไม่ เพราะหากบอกว่าการอภิปรายของฝ่ายค้านอย่างที่เห็นถือว่าประสบความสำเร็จก็คงไม่ใช่แน่นอน เพราะมันยังไม่สมราคาคุย ไม่มีทีเด็ดเหมือนกับที่ตีปี๊บโหมโรงเอาไว้ใหญ่โตก่อนหน้านี้ !!