ข่าวปนคน คนปนข่าว
**งูเห่าเพื่อไทยทรยศ? หรือเพราะ “นายใหญ่ดูไบ” หักหลัง เย้ยหยันศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
เป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์ให้ถ่องแท้ จากกรณีการโหวต ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 ในวาระแรก ซึ่งมี ส.ส.เห็นชอบ 278 เสียง ไม่เห็นชอบ 194 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง จากจำนวนผู้ลงมติ 472 คน ปรากฏว่า เสียง ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลตอนแรกที่หวั่นๆ จะแปรปรวน ตีรวนกัน งานนี้กลับพร้อมเพรียงแถมตรงกันข้ามขั้วพรรคร่วมฝ่ายค้านประมาณ 16 คน ซึ่งในจำนวนนี้เป็น ส.ส.เพื่อไทย 7 คน ที่โหวตสวนมติพรรค
แน่นอนงานนี้ พรรคเพื่อไทยต้องออก “แอกชั่น” ลั่นวาจาว่า จะจัดการ “ลงโทษ” งูเห่าให้สาสม พร้อมกับตราหน้า ส.ส.กลุ่มนี้เป็น “คนทรยศ” ต่ออุดมการณ์ของพรรค เบื้องต้นดีดพ้นจากสมาชิกห้องไลน์ทุกห้อง ไม่ให้เข้าร่วมสังฆกรรมในกลุ่มสื่อสารของพรรค
“นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” หัวหน้าพรรค ถึงกับบอกว่า คนเหล่านี้ทำให้พรรคเสียหาย ยืนยันเอาจริง ไม่ปล่อยไว้ให้เป็นเยี่ยงอย่างแน่ โดยที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ดำเนินการขับ ส.ส.ออกจากพรรคมาแล้ว
ถามว่า “นายใหญ่ดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคตัวจริง รู้หรือไม่ ก็ต้องบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพื่อไทย “เลือดไหล” งูเห่าคิดย้ายออกหารังใหม่ อย่างที่ นพ.ชลน่าน บอกมีมาอยู่แล้วก่อนนี้ ทักษิณย่อมรู้ความเคลื่อนไหวเป็นอย่างดี ซึ่งหากดูกันจริงๆใน 7 ส.ส. พรรคเพื่อไทย โหวตสวนมติพรรค โดยรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ประกอบด้วย จักรพรรดิ ไชยสาส์น ส.ส.อุดรธานี จาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ ส.ส.ศรีสะเกษ ธีระ ไตรสรณกุล ส.ส.ศรีสะเกษ นิยม ช่างพินิจ ส.ส.พิษณุโลก ผ่องศรี แซ่จึง ส.ส.ศรีสะเกษ วุฒิชัย กิตติธเนศวร ส.ส.นครนายก และ สุชาติ ภิญโญ ส.ส.นครราชสีมา
โฟกัสเฉพาะ 3 ส.ส.ศรีสะเกษ นั้น เป็นที่รับรู้กันว่า ใจนั้นย้ายไปพรรคภูมิไทยใจแล้ว ทั้ง “ผ่องศรี แซ่จึง” ส.ส.เขต 8 “จาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์” ส.ส.เขต 4 และ “ธีระ ไตรสรณกุล” ส.ส.เขต 5 โดยก่อนหน้านี้ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ยกขบวนไปเปิดตัวมาแล้วช่วงวันที่ 20-21 พ.ค.ที่ผ่านมา
ท่าทีของ นายใหญ่ดูไบ เมื่อรู้ว่ คนของตัวเองจะย้ายหนีเพื่อไทย
ที่ผ่านมา นอกจากออกมาพูด “โนสน โนแคร์” สาปส่ง แล้วยังเย้ยหยันคนพวกนี้ออกจากพรรค ก็มีแต่ “สอบตก” เพราะประชาชนเลือกพรรค ไม่ได้เลือกคน กลับเป็นเรื่องดีที่เพื่อไทย จะถือโอกาส “ถ่ายเลือด” ปรับโครงสร้างใหม่
นั่นจึงเป็นที่มาของการปลุกปั้นแคมเปญ “ครอบครัวเพื่อไทย” โดยให้ลูกสาว “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เข้ามาเป็นประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วม และนวัตกรรม ยกขึ้นเป็น “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” สร้างการตลาด ตอกย้ำแบรนด์ “เพื่อไทย” ที่ยังไงก็มีตระกูล “ชินวัตร” ดูแล
ฟังว่า เมื่อวาน (6 มิ.ย) พรรคเพื่อไทย จัดกิจกรรม “ครอบครัวเพื่อไทย เพื่อชาวนาไทย จ.สุรินทร์” ขนาด “อุ๊งอิ๊ง” ติดโควิดไปร่วมงานไม่ได้ ก็ยังอุตส่าห์ให้ “พานทองแท้ ชินวัตร” พี่ชายเป็นตัวแทนเข้าร่วมกิจกรรม
ถามว่า “พานทองแท้” ตำแหน่งอะไรในพรรคเพื่อไทย? หัวหน้าครอบครัวไปไม่ได้ พี่ชายหัวหน้าครอบครัวไปแทน เรื่องนี้เป็นเรื่องครอบครัวชินวัตร หรือเรื่องพรรคเพื่อไทย? นี่จะถือเป็นการ “ชี้นำ ครอบงำ” พรรคการเมืองหรือไม่
จากพรรคที่เป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ เป็นพรรคที่เป็นตัวแทนของครอบครัวชินวัตร ไปแล้ว
งานนี้ “ทักษิณ” ผลักดันลูกๆ ออกหน้ามาเป็นนอมินีเดินเกมเปิดหน้าทวงคืนอำนาจรัฐไม่มีเหนียมจริงๆ ด้วยการโหมกระพือโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อไทยยุคถ่ายเลือดจะ “แลนด์สไลด์” กลับมาได้แน่
“ทักษิณ” คำนวณเป็นมั่นเหมาะ ยังไงๆ นักการเมืองต้องอยากอยู่เพื่อไทย ทักษิณแค่ประโคมแบรนด์ สร้างความเชื่อว่า จะกลับมายิ่งใหญ่แน่นอน ยิ่งคนเบื่อรัฐบาล “เบื่อ 3 ป.” ไม่ต้องลงทุนลงเงินมาก
แต่ลืมไปว่า อดีต ส.ส.หรือ ส.ส.เพื่อไทย ที่ตัดสินใจหนีจาก “ครอบครัวชินวัตร” ส่วนมากจะเป็น ส.ส.ประเภท “บ้านใหญ่” มีฐานเสียงของตัวเอง ไม่ต้องอาศัยการตลาดกระแสของเพื่อไทย ไม่กลัวสอบตก และไม่หวั่นคำขู่ของทักษิณ
กล่าวได้ว่า บ้านใหญ่เหล่านี้ไม่มีใครคิดอยากย้ายพรรค หรือ “ทรยศ” ใคร หากไม่มีเหตุผลความจำเป็นทางการเมือง ซึ่งแน่นอนไม่ใช่ เรื่อง “เงิน” ด้วย หากเป็นความอึดอัดคับข้องใจ ในระดับที่ “ทนไม่ไหว” มากกว่า
บ้านใหญ่ ที่เคยทำงานการเมืองกับ เพื่อไทย ต่างรู้เช่นเห็นชาติว่า ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงของเพื่อไทย หรืออดีตตั้งแต่ตั้งพรรค ไทยรักไทย พลังประชาชน จนมาเป็นเพื่อไทย ปัญหาอยู่ที่ “ทักษิณ”
ว่ากันว่า “ทักษิณ” ไม่ได้เห็น ส.ส. เป็นผู้แทนประชาชน ไม่เห็น ส.ส. เป็นคนที่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่เห็น ส.ส.เป็นลูกจ้าง เป็นพนักงานบริษัท เป็นคนรับใช้ตระกูลชินวัตร!!
หนักกว่านั่น ก็ลองไปถาม “แรมโบ้” เสกสกล อัตถาวงศ์ ดูที่เคยถูกทำลายศักดิ์ศรี ส.ส. เปรียบเป็นหมา เปรียบเป็นโสเภณีขายตัว!!
ขณะที่ คนเสื้อแดง เป็นคนพายเรือให้นั่ง เมื่อถึงฝั่งกลับถีบหัวเรือ ทิ้งคนเสื้อแดงติดคุก ติดตะรางหลายคน ไม่นับรวมคนใกล้ชิดทำงานถวายหัว พอติดคุกแล้ว “ทักษิณ” มาจนถึง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็หนีเอาตัวรอด ตัวอย่างของ “บุญทรง เตริยาภิรมย์” “ภูมิ สาระผล” และ “วัฒนา เมืองสุข” คนเหล่านี้ คือ คนรับใช้ที่ถูกทิ้งให้ติดคุก
ต้องย้อนถามทักษิณ และเพื่อไทย ว่า ใครทรยศใคร ใครหักหลังใคร “ทักษิณ” สร้าง ส.ส. หรือ ส.ส.สร้างทักษิณ ใครเป็นหนี้บุญคุณใคร!!
วันนี้เอาลูกมาข่มผู้ใหญ่ ผู้อาวุโสในพรรคจนไม่มีบทาท ไม่มีปากเสียง ไม่มีสิทธินำเสนอความคิดเห็น เป้าหมายแลนด์ไลด์ ก็เพื่อไปสู่นิรโทษกรรมให้ตัวเอง
ใครที่เดินออกจากเพื่อไทยวันนี้ถือเป็นงูเห่า ไม่จงรักภักดีกระนั้นหรือ? คนที่มีอุดมการณ์การเมืองจะต้องคิดแบบเดียวกับตระกูลชินวัตร เท่านั้นหรือ?
ดูแล้ว...ถ้า ส.ส.เพื่อไทยที่เหลือ เกิด “บรรลุธรรม” เห็นซึ้งถึงนิสัยถาวรของ “ทักษิณ” ขึ้นมามากกว่า 7 งูเห่า ที่จะย้ายออก แนวโน้มเป็นไปได้มากซะด้วย ที่จะเห็นกันก่อนจะเลือกตั้ง เชื่อได้ว่า วันนั้นมาถึงต้องมีคนกระอักเลือดตายแน่นอน
**เปลี่ยนผู้ว่าฯ กทม.ยังขนาดนี้ เปลี่ยนนายกรัฐมนตรี นี่จะขนาดไหน?
กลายเป็นขวัญใจชาวโซเชียลฯ ต้องเกาะติดการทำงานผ่านไลฟ์สดชนิดทั้งวัน เพื่อดู “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าฯ กทม.จะทำอะไร ที่ไหน ซึ่งต้องถือเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับแวดวงการเมืองมาก่อน
เจ้าตัวเองก็ขยันลงพื้นที่ไม่มีหยุดหย่อน เสาร์-อาทิตย์ ไม่มีแผ่ว ยังมีวาระงานเข้ามาให้ได้พูดถึงเป็นกระแสต่อเนื่อง
อย่างเมื่อวาน (5 มิ.ย.) เช้าตรู่ไปพายเรือคยัคเก็บขยะในแม่น้ำเจ้าพระยา และปลูกต้นไม้ เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 2565 เยี่ยมเคหะชุมชนบางบัว ตรวจงาน 5 แยกระนอง ตกบ่ายคล้อยไปร่วมงานบางกอกนฤมิตรไพรด์ แดดร่มลมตกไปร่วมงานดนตรีในสวนลุมพินี ที่เห็นว่าคน กทม.มาร่วมฟังงานคับคั่ง
เรียกว่า ไปทุกที่ ร่วมทุกอีเวนต์จริงๆ เหมือนวันหนึ่งมี 25 ชม.
“ชัชชาติ” เวลานี้ไปปรากฏตัวที่ไหนนอกจากภาระกิจการงาน ชาวประชาคนกรุงเจอะเจอมีเสียงกรี๊ด มีขอถ่ายภาพ ไม่ต่างจากดารานักร้องดัง แถมมีเสียงตะโกน “นายกฯๆๆ” อีกต่างหาก. โปรแกรมงานแน่นเอี๊ยดแบบไม่ให้มีช่องว่างนี้ กระทั่งชาวเน็ตยังสงสัยเอาเวลาที่ไหนไปนอน
ดูเอาเถอะว่า ผู้ว่าฯ กทม.บุรุษผู้มีฉายาว่า “แข็งแกร่งสุดในปฐพี” เป็นประเด็นในโลกออนไลน์แค่ไหน เห็นได้จาก แฮชแท็ก #ผู้ว่าฯ กทม.ยืนหนึ่งติดอันดับเทรนด์ฮอตตลอดทั้งวัน
แน่นอนว่า ของแบบนี้บรรดากองแช่ง หรือ ไอโอฝ่ายองครักษ์พิทักษ์ลุง ย่อมรู้สึก “เจ็บจิ๊ดในหัวใจ” ต้องหวั่นไหวอยู่เฉยไม่ได้เป็นธรรมดา ว่าแล้วก็ผลิตคอนเทนต์แซะ “ชัชชาติ” หาผลงานผู้ว่าฯคนก่อนคนที่ลุงๆ สนับสนุนมาข่ม บอกว่า งานเดียวกันของขัชชาติวันนี้ ผู้ว่าฯ คนก่อนก็ลงพื้นที่ ที่เดียวกัน ตั้งคำถาม “ไม่เหมือนตรงไหนเอาปากกามาวง” เพียงแต่ไม่ได้ไลฟ์สด ไม่มีสื่อตาม ทำงานเงียบๆ ไม่หิวแสง แต่ก็โดนชาวโซเชียลฯ ฟาดกลับว่า จะด้อยค่าคนอื่นดูตัวเองก่อนเถอะ ทำอะไรให้คนกรุงบ้าง อิจฉาแหละดูออก และ ท้าทายไอโอให้หาผลงานมาอีก หาให้ทันก็แล้วกัน
งานนี้ตอบโต้กันไปมา ก็ทำเอาชาวเน็ตมีเรื่องดรามาให้สนุกสนานกันไป แต่ถ้ามองกันจริงๆ หากจะถกเถียงกันเรื่อง PR ว่า ใครทำเก่งกว่าใคร ก็อาจจะเป็นอีกเรื่องที่เถียงกันไม่จบ แต่ชาวเน็ตที่ติดตามไลฟ์สดชัชชาติ จะเห็นตรงกันว่า ผู้ว่าฯ กทม.คนนี้ลงพื้นที่แต่ละที่ มาพร้อมกับข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า ทำการบ้านมาไว้ก่อนแล้ว ในไลฟ์สดจึงมีคนติดตาม และชื่นชม
แต่ที่เจ็บๆ คันๆ ก็เห็นจะเป็น “มีม” เปรียบ 8 วันในการทำงานของ “ชัชชาติ” ในตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.เหมือนทำอะไรได้มากกว่า 8 ปีของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลายคนเชียร์ให้ทำงานอย่างนี้ไป 8 เดือน เอาให้แซง 8 ปีในทุกมุมมอง
พูดง่ายๆ ว่า 8 วัน มีคนรักทั้งประเทศ แต่อยู่มา 8 ปี คน ยี้เหลือเกิน ก็น่าเหนื่อยใจแทนลุงๆ จริงๆ
นี่ต้องบอกว่า แสงของ “ชัชชาติ” ยิ่งเจิดจ้า แสงของลุงๆ ก็ยิ่งริบหรี่ลงทุกวัน เปลี่ยนผู้ว่าฯ กทม.ยังขนาดนี้ เปลี่ยนนายกรัฐมนตรี นี่จะขนาดไหน.