สัญญาณไม่ดี!? “อดีตบิ๊ก ศรภ.” ออกโรงแนะ “บิ๊กตู่” ประกาศตัวเป็นสมาชิกพรรคการเมือง แก้วิกฤตศรัทธารัฐบาล “นิติธร” เตือน “ปชช.” ตั้งสติ ระวังวาทกรรม หลอกล่อ “เอาบิ๊กตู่ไว้กันระบอบทักษิณ” ก้าวข้าม “วังวนขัดแย้ง”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (3 เม.ย.) พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง “บิ๊กตู่จะไปทางไหนก็เลือกเอาซะอย่างหนึ่ง” ระบุว่า
“เรื่องที่จะพูดกันวันนี้ จะคัดเอาเรื่องทางการเมืองที่มีแนวโน้มชัดเจน แสดงให้เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ลุงตู่จะลงมาเล่นการเมืองอย่างจริงจัง ไม่ต้องพึ่งพาใคร และต้องใช้หลักธรรมเข้าร่วมนำทางด้วยครับ โดยเฉพาะในเรื่อง “ตนเป็นที่พึ่งของตนเอง” หรือ “ช่วยตัวเองให้ได้เสียก่อน ถึงจะไปช่วยคนอื่น” อะไรทำนองนี้ มาดูว่าทำไมผมถึงพูดแบบนี้
1. ความแตกแยกในพรรค พปชร.ทำให้พรรคร่วมรัฐบาล ขาดความน่าเชื่อถือไปด้วย ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อตัว นรม. ว่า จะแก้ไขปัญหาให้กับพวกเขาได้จริงหรือไม่ ในขณะที่สื่อกระแสหลักเสนอข่าวต่อเนื่องกันในทำนองว่า “นายกฯ เองยังเอาตัวแทบไม่รอดเลย จะไปช่วยใครได้” คือไม่มีใครเชื่อว่า พรรค พปชร.จะไม่แตกแยกกันออกไปอีกครั้งหนึ่ง หรือจะร่วมทางกันไปได้ตลอดรอดฝั่ง ข้าราชการจึงเริ่มทำงานไม่เต็มที่
2. การขาดความเชื่อมั่นในเรื่องเหล่านี้ เป็นสาเหตุของการเกิดวิกฤตศรัทธาต่อบิ๊กตู่เอง ดังนั้น เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในระยะนี้ หลายเรื่องที่สังคมไม่พอใจต่อการทำงานของหน่วยงานรัฐหลายหน่วยงาน ได้ถูกระบายออกมาผูกโยงเข้าที่ลุงตู่ทั้งหมด ทั้งๆ ที่หลายเรื่องมีเหตุ มีผลที่จะชี้แจงได้อยู่แล้ว
ตัวอย่างเอาเรื่องเร็วๆ นี้ก็ได้ เช่น เรื่องการลดโทษนักโทษ, เรื่องแตงโม, เรื่องที่ดินของนายธนาธรและครอบครัว แม้ในที่สุดเรื่องนี้จะเสร็จสิ้นออกมาแล้ว แต่กินเวลาไปเกือบ 2 ปี, เรื่องสนามบินเบตงไม่มีเครื่องบินไป, เรื่องทางด่วนลอยฟ้าไปโคราช บอกว่า จะเปิดมาเกือบ 2 ปีแล้วปีเล่า, แม้กระทั่งเรื่องกระทรวงยุติธรรมออกซีดีมาแจกประชาชนเป็นเพลงต่อต้านการโกงทางออนไลน์ ก็ยังถูกนำออกมาโจมตีบิ๊กตู่จนได้ว่าเป็นรัฐบาลยุค 5G แต่มาแจกซีดี ใครจะหาเครื่องมาเปิดฟังได้
“เรื่องเหล่านี้ ถ้ารัฐบาลรีบแก้ไขปัญหา หรือชี้แจงเหตุผล อย่างรวดเร็ว ก็จะไม่ก่อให้เกิดความน่าสงสัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการบริหารงานของรัฐบาลขึ้น ด้วยเหตุนี้บิ๊กตู่จึงต้องแสดงความชัดเจนว่าจะเอาอย่างไร วิธีแสดงที่ชัดเจน คือ การประกาศตัวเป็นสมาชิกพรรคการเมืองซะเลย เท่านั้นทุกอย่างจบ ครับ แม้แต่ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ก็อาจเปลี่ยนผลไป”
ขณะเดียวกัน นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ “ทนายนกเขา” แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย (ปท.) กล่าวผ่าน Facebook Live “ประชาชนคนไทย ปท.” ว่า
วังวนการเมืองจะเห็นสัญญาณความขัดแย้งขยายตัวไปเรื่อยๆ ความวุ่นวายแบ่งพรรคแบ่งพวก การเชียร์ต่างๆ แม้แต่การเลือกตั้งในสนามผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็จุดประเด็นความขัดแย้งทางสังคม และข้อมูลไม่ถูกต้อง เช่น การทวงคืนสนามหลวง และเกิดวาทกรรมว่าต้องเอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไว้ เพื่อกันระบอบทักษิณ ซึ่งประชาชนหลายคนอาจจะตั้งข้อสังเกตและสงสัยว่า เป็นกระบวนการรับใช้กันและกันหรือไม่ ต่างตอบแทนหรือไม่
นายนิติธร กล่าวว่า การปรากฏตัวของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งเป็นทายาทของนายทักษิณ ชินวัตร ตนคิดว่า ตรงนี้จะเป็นชนวนความขัดแย้งครั้งใหญ่ แล้วประเทศไทยก็จะไปไหนไม่ได้ จึงเป็นโอกาสของคนที่ยึดอำนาจ และเป็นโอกาสของคนที่ออกรัฐธรรมนูญมา เพื่อให้เกิดกติกาให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะ ก็จะอาศัยสิ่งเหล่านี้มาเพื่อดำรงตำแหน่ง หรือใช้อำนาจทางการเมืองต่อไป ภายใต้พื้นฐานที่ประชาชนไม่ได้อะไรเลย แล้วประชาชนก็จะเกิดความขัดแย้ง ทั้งนี้ สิ่งที่พูดว่าขอเวลาอีกไม่นานความสุขจะกลับมามันไม่มีจริง
“เพราะฉะนั้นประชาชนต้องตั้งสติให้ดีๆ เพราะถ้าตั้งสติไม่ดีจะเข้าสู่วังวนวาทกรรมทางการเมืองทันที และประชาชนก็จะเข้าไปสู่ความขัดแย้งบนพื้นฐานที่คนไม่กี่คนทำเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นประชาชน ต้องมองการเมืองด้วยสติ อย่ามองด้วยสายตาหรืออารมณ์ แต่ต้องมองด้วยปัญญา ไม่เช่นนั้น จะหลงกับมายาภาพอย่างแน่นอน คนหนึ่งที่ไม่เชื่อว่านักการเมืองจะขัดแย้งกันจริง จะถึงขั้นไม่เผาผีกันจริง ผมไม่เชื่อว่ามีการติดต่อกัน เพราะการเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์และอำนาจ วันนี้ผมไม่เชื่อว่า คุณทักษิณต้องการกลับบ้าน แต่คุณต้องการส่งเสียงของคุณแต่ผมรับได้ ในยามวัยชรายามแก่ความอ้างว้างว้าเหว่ ต้องรับกรรมกับสิ่งที่ตัวเองทำ อาจจะเกิดเรื่องเหล่านี้ได้ในชีวิตคนๆ หนึ่ง”
นายนิติธร กล่าวว่า ขอให้เปิดพื้นที่ให้กับพี่น้องประชาชน ได้หันหน้าเข้าหากันคุยกัน และขอให้ยอมลดละความขัดแย้งชั่วคราว และมุ่งหน้าเข้ามาเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง คือ สิ่งที่ไม่ว่านักการเมืองหน้าไหนก็กลัวทั้งสิ้น วันนี้ถ้าประชาชนร่วมกันได้ และต้องการปฏิรูปประเทศ ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ สิ่งนี้คือสิ่งที่ทักษิณกลัวและประยุทธ์กลัว นักการเมืองชั่วทั้งหลาย ทุนสามานย์ทั้งหลาย ข้าราชการชั่วทั้งหลาย กลัว เพราะฉะนั้นทุกวิถีทาง จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ จะมีการหยิบฉวยวาทกรรมขึ้นมา
นายนิติธร กล่าวว่า อยากถามว่า คนที่พูดหากินกับระบอบนี้หรือเปล่า ขอให้ประชาชนไปดูให้ถ่องแท้ และประชาชนจะเห็นว่าพวกนี้กระจุกตัวอยู่ด้วยกันทั้งหมด ที่ประชาชนจะต้องเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า จะทะเลาะกันอยู่อย่างนี้หรือไม่ เพราะฉะนั้นประชาชน จะต้องตั้งคำถามและข้อสังเกต จะเห็นว่า ตัวเองถูกปั่นยุแยงให้ทะเลาะกันหรือไม่ ให้รวมตัวกันไม่ได้หรือไม่ ให้แบ่งเป็นฟากหรือกลุ่มก้อนหรือไม่ แล้วทำให้เราเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้หรือไม่ แล้วอำนาจการบริหารต้องไปตกอยู่กับ เครือญาติหรือกลุ่มพวกเดิมๆ หรือไม่ ดังนั้น ถ้ายังติดกับจากวาทกรรม ทางการเมืองแบบนี้ประเทศนี้ก็จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้
นายนิติธร กล่าวว่า คิดว่าเราอยู่ในวังวนเรื่องนี้มานาน ทั้งตัวเราเองและการถูกปั่น ตนเชื่อว่า ตัวเราเองแค่ 10% ที่เหลือ 90% นั้น เราถูกกระบวนการของผู้ที่ต้องการอำนาจทางการเมือง และผลประโยชน์ทางการเมือง ผู้ที่ต้องการผูกขาดทางการค้า ผู้ที่ต้องการกดภูมิปัญญาท้องถิ่น และกดทรัพยากรธรรมชาติไม่ให้เจริญเติบโต และพัฒนา เราอยู่ในวังวนนี้มานานแล้ว เพราะฉะนั้นประชาชนจะต้องหันมาพิจารณา ฝ่ายที่มองว่าเป็นคนละขั้ว เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนต่างคนต่างเชื่อว่า ประชาชนด้วยกันมีความหวังดี ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ก็ต้องกล้าก้าวข้ามปัญหาเหล่านี้แล้วหันหน้าเข้าหากัน แล้วมาจัดการเรื่องรัฐธรรมนูญ โครงสร้างทางการเมืองใหม่ ระบบการเลือกตั้งระบบธุรกิจการแบ่งสันปันส่วน
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ ความขัดแย้งแตกแยกในพรรคพลังประชารัฐ พรรคแกนนำรัฐบาล จนทำให้ภาพรวมรัฐบาลเกิดวิกฤตศรัทธาตามไปด้วย รวมถึงการแก้ปัญหาประชาชนก็ไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร อาการที่เป็นอยู่ นับว่าน่าเป็นห่วง หากไม่หาทางแก้ไขให้ทันทวงที ปัญหาอาจหนักหน่วงเกินแก้ก็เป็นได้
และอย่างที่ พลโท นันทเดช ว่า การแทงกั๊กของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไม่ยอมชัดเจนเรื่องสังกัดพรรคการเมือง ก็ปัญหาหนึ่ง
แต่ก็ไม่อาจมองข้าม การแบ่งฝักฝ่าย แบ่งกลุ่มก๊วนในพรรคพลังประชารัฐ การแก่งแย่งช่วงชิงตำแหน่งทางการเมือง การแสวงหาผลประโยชน์ในตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งทั้งหมดก็คือ จริตของนักการเมืองนั่นเอง
จึงไม่แน่ว่า เพียงแค่ “บิ๊กตู่” สังกัดพรรคการเมือง ทุกอย่างจะจบลงโดยง่าย
กลับกัน อาจส่งผลลบมากกว่าผลบวก กล่าวคือ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนอยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะอาสาเข้ามา “ปฏิรูปประเทศ” หลังจากทำรัฐประหาร ไม่ใช่เข้ามาตามครรลองของระบบเพื่อแก้ปัญหาประเทศ เหมือนนักการเมืองทั่วไป
ดังนั้น สิ่งที่ “บิ๊กตู่” จะต้องทำให้สำเร็จ คือ “ปฏิรูปประเทศ” ไม่ใช่ “เล่นการเมือง”
เพราะเมื่อไหร่ก็ตาม ที่ “บิ๊กตู่” ประกาศอย่างชัดเจนว่า เล่นการเมือง เมื่อนั้น “บิ๊กตู่” จะหมดความชอบธรรมที่จะอยู่ในอำนาจทันที และคำถามต่อการ “ปฏิรูปประเทศ” จะประดังเข้ามาอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าทุกเรื่องที่ตั้งแท่นเอาไว้ ไม่มีอะไรคืบหน้าแม้แต่เรื่องเดียว ลองคิดดูว่า 8 ปีของ “บิ๊กตู่” นานเกินไปหรือไม่
เหนืออื่นใด ต้องยอมรับว่า ปัญหาการเมืองไทย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “บิ๊กตู่” เท่านั้น หากแต่ขึ้นอยู่กับการเมืองทั้งระบบที่ยังอยู่ใน “วังวน” ของวงจรอุบาทว์ ทั้งปัญหารัฐธรรมนูญ ปัญหานักการเมือง ปัญหาความขัดแย้งแตกแยกของประชาชน อันเนื่องมาจากการปลุกปั่นยุยงของคนบางกลุ่ม ที่สำคัญ มีการเคลื่อนไหว ต้องการ “ปฏิรูปสถาบันฯ” ของเยาวชนคนรุ่นใหม่ด้วย
ประเด็นก็คือ ถ้า “บิ๊กตู่” เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคอื่น ปัญหาในพรรคพลังประชารัฐ อาจจบ! แต่ปัญหาทางการเมืองไทย จะจบด้วยหรือไม่ ก็นับว่าน่าคิดเหมือนกัน!?