เมืองไทย 360 องศา
คาดเดาได้ยากเสมอ สำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่ล่าสุด ออกมาให้สัมภาษณ์ยาวเหยียด เนื้อหาดูเหมือนตัดพ้อ ทำนองว่าทำอะไรก็ถูกจับผิด ถูกมองว่าเคลื่อนไหวทุกเรื่องเป็นการเมืองไปทั้งหมด เช่น หลังจากเสร็จภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล ก็แวะไปเดินตลาดในย่านสะพานขาว เมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา ก็ไม่วายถูกจับจ้องว่ามีเจตนาหาเสียงให้กับผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.บางคน ซึ่งเขาก็ได้พูดจาแบบพรั่งพรูออกมา
แม้ว่าทุกคำพูดของเขาต้องการสื่อให้เห็นว่าไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นภารกิจของนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการสำรวจความเป็นอยู่ของชาวบ้าน การค้าการขายว่าพวกเขาอยู่กันอย่างไร เดือดร้อนกันแค่ไหน ก็ให้กำลังใจกันไป อะไรประมาณนี้ แต่อย่างไรก็ดี คนอย่าง “บิ๊กตู่” ก็ย่อมถูกมองว่า ต้องมีอะไรซ่อนนัยไว้อยู่แล้ว ถือว่า “ไม่ธรรมดา” ไม่เช่นนั้นคงไม่อยู่ยาวมาจนถึงวันนี้ และยังเป็น “คู่ต่อกร” กับ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร แบบยืนระยะได้ดีไม่เบา
เพราะในคำพูดที่พรั่งพรูออกมาดังกล่าว ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หากพิจารณาอย่างละเอียด ก็จะเป็นการ “หยั่งท่าที” หรือ “หยั่งเชิง” ทุกฝ่ายว่ามีท่าทีกับเขาอย่างไร แต่แน่นอนว่านาทีนี้สำหรับฝ่ายตรงข้ามในเครือข่ายของ นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย คงต้องการให้ “ลาออก” ทุกนาทีอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ หรือเหนือความคาดหมาย
แต่ที่ต้องพิจารณาในเวลานี้ ก็คือ “ฝ่ายกองหนุน” รวมไปถึง “ฝ่ายที่เคยหนุน” ด้วยว่า ยังมั่นคงแค่ไหน รวมไปถึง“บางคน” ทำนองว่าถึงเวลาที่ต้อง “เคลียร์คัต” ให้ชัดเจนกันเสียที ได้หรือไม่ ซึ่งนาทีนี้อาจยังมองดูกว้าง และเลื่อนลอย แต่ขณะเดียวกันเมื่อมีการเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้น เช่น ก่อนการประชุมใหญ่ของ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” เพียงไม่กี่ชั่วโมง ที่มีกำหนดจัดงานในวันที่ 31 มีนาคม ก็มีคำพูดยืนยันออกมาจากปากของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่า “นายกฯอยู่กับผม” ไม่ไปไหน
ขณะเดียวกัน เมื่อย้อนพิจารณาคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวถึงการลงพื้นที่ตลาดทรัพย์สินพัฒนา (ตลาดสะพานขาว) ช่วงเย็นวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา ว่า เนื่องจากพอมีเวลาจึงได้ลงไปดู ไปเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจกับบรรดาพ่อค้า แม่ค้า ตนทราบดีว่าทุกคนเดือดร้อน ไม่มีความสุข แล้วตนที่เป็นนายกฯ จะมีความสุขได้อย่างไร
พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า อยากจะชี้แจงสื่อตรงนี้ ในฐานะผู้นำรัฐบาลก็พยายามทำทุกอย่างเต็มที่ ในการที่จะแก้ไขปัญหาให้ได้ บางอย่างอาจจะไม่ได้ 100% หรือไม่เป็นที่พอใจของทุกคนทุกภาคส่วน แต่ต้องยอมรับว่าวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนพร้อมๆ ในเวลาใกล้เคียงกัน แม้แต่ในประเทศไทยเราไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ในยุคสมัยใหม่ขณะนี้
“ผมเองไม่เคยนิ่งดูดายในทุกๆ งาน แล้วจะหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนอีกในโอกาสที่เหมาะสม ในหลายๆ พื้นที่ผมก็อยากไปคุยกับพวกเขา ให้กำลังใจกับพวกเขา แม้ใครจะชอบหรือไม่ชอบ ผมก็ไม่สนใจตรงนั้นอยู่แล้ว ผมต้องการจะไปเพื่อเห็นหน้าเห็นตาพวกเขา เพราะได้เห็นจากสื่อและสังคมโซเชียลต่างๆ มามากพอสมควรแล้ว ซึ่งก็มีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจ ผมถือเป็นเรื่องธรรมดา จะให้ใครรักเราทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ แต่ขอให้เขาเข้าใจว่าความตั้งใจของผมคืออะไร ผมพยายามทำอย่างดีที่สุด”
ถามว่า มีการมองการลงพื้นที่ของนายกฯ เป็นการไปช่วยหาเสียงเพื่อช่วยเหลือใครหรือไม่ นายกฯ ตอบด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ว่า “ทำไมต้องมองไปในเรื่องการหาเสียงด้วย ผมไปหาเสียงให้ใครหรือ มันช่วงหาเสียงหรือเปล่า ไปหาเสียงให้ใคร หาเสียงอะไร”
เมื่อผู้สื่อข่าวระบุว่า ในช่วงนี้เป็นฤดูการหาเสียงท้องถิ่น โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานครแล้ว นายกฯ สวนทันทีว่า “เลือกตั้งอะไร เลือกตั้งกทม. แล้วผมไปเลือกให้ใคร ผมพูดกับใคร ผมให้เครดิตใครหรือ ถ้ามองกันอย่างนี้ก็ไม่ต้องทำอะไร พอไม่ไปก็ว่าผม พอไปก็ว่าผมอีก ช่วงไหนไปได้ ก็ไป ถามว่าความขัดแย้งมันได้อะไรขึ้นมา อยากจะรู้ตรงนี้เท่านั้นเอง มีบางคนก็หวังแต่จะชนะ ถามว่าถ้าชนะแล้วมีความขัดแย้ง แล้วจะได้ประโยชน์อะไร ขอถามหน่อย
“ผมพยายามทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุดนั่นแหละ ถึงแม้ว่าจะมีคนโจมตีว่า อะไรต่างๆ ผมไม่โกรธ โกรธไม่ได้หรอก เพราะผมทำให้เขาถูกใจไม่ได้ทั้งหมด แต่ผมจำเป็นต้องทำเพื่อคนส่วนใหญ่ให้มากที่สุด.... ก็ถ้ามีโอกาสก็ทำต่อไป ไม่มีโอกาสก็กลับบ้านนอน เท่านั้นเอง”
ซึ่งคำพูดท่อนท้ายนี่แหละที่น่าสนใจ ที่เหมือนกับต้องการสื่อให้เห็นว่า “หากไม่ได้รับการสนับสนุน” ที่ชัดเจนหนักแน่นพอ เขาก็ไม่ไปต่อ ขณะเดียวกัน“ถ้ามีโอกาสก็จะทำต่อไป”
แน่นอนว่า หากมองกันในเชิงการเมือง มันก็เหมือนกับการมาถูกที่ถูกเวลา เพราะช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้น มองไปที่อีกฝั่งก็จะเห็นการเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ของนายทักษิณ ชินวัตร ที่เผยท่าทีชัดเจนเช่นเดียวกันว่า “ต้องผลักดัน” ลูกสาวคนเล็ก คือน.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี “สืบทอดอำนาจ” โดยมีเป้าหมาย “ได้กุมอำนาจรัฐ” และ“พากลับบ้าน” มันก็เหมือนเป็นการเดิมพันหมดหน้าตัก เพราะด้วยวัยที่ล่วงเข้าวัยชรา ประกอบกันทายาท หรือ “หุ่นเชิด” ที่ไว้ใจได้เหลือน้อยลงทุกที
แต่อีกด้านหนึ่งการออกตัวแบบนี้มันก็ย่อมเกิด “แรงต้าน” บีบให้อีกฝ่ายแท็กทีมขึ้นมาได้เหมือนกัน ประเภท “เกลียดกลัวทักษิณให้ไปรวมตัวอีกฝั่ง” มันก็ทำให้ตัวเลือกสำหรับ “ยันกับฝ่ายทักษิณ” เห็นชัดขึ้นมา มันก็ทำให้ “บิ๊กตู่” ชัดขึ้นมาอีกรอบ
ขณะเดียวกัน สำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ต้องการ “ป้องกันจุดอ่อนแบบขาลอย” เอาไว้อย่างรัดกุมเช่นเดียวกัน ดังจะเห็นการเคลื่อนไหวของ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ผ่านทาง “แรมโบ้” นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ที่ถือว่าเป็นคนใกล้ชิด เป็นมือไม้ขับเคลื่อนการเมืองยังเข้มข้น และแม้ว่าในวันประชุมใหญ่ของพรรค เมื่อวันที่ 31 มี.ค.จะ “ไม่มีบิ๊กเซอร์ไพรส์” ตามที่กล่าวเอาไว้ แต่ “แรมโบ้” ก็ยืนยันว่าจะ “รอเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม หรือเดือนมิถุนายน” แน่นอน
แม้ว่าจะมีรายงานข่าวอ้างในทางลึกว่า มีการขอร้องกันจาก “บิ๊กบางคน” ให้ชะลอไปก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ “พี่น้องหมางใจกัน” ความหมาย ก็คือ ไม่อยากขัดใจกับ “บิ๊กป้อม” นั่นแหละ หากมองกันแบบตรงๆ ทางหนึ่งมันก็ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เพราะการที่สองพรรค (รวมไทยฯ กับพลังประชารัฐ) ตีคู่ขนาน ในวันหน้าอาจเป็นพรรคพันธมิตร ที่ “แตกแบงก์ย่อย” แบ่งพื้นที่กันหาเสียง เหมือนกับที่นายทักษิณ ชินวัตร เคยทำเมื่อครั้งเกิดพรรคไทยรักษาชาติ เพียงแต่ว่าล่มไปเสียก่อน
และเมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบที่ล่าสุดผลการโหวตของคณะกรรมาธิการฯพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญก็ชี้ขาดให้การเลือกตั้งแบบ “สองเบอร์” เรียบร้อยแล้ว อย่างน้อย ในมุมมองเบื้องต้นก็อาจจะเป็นการ “สกัดแลนด์สไลด์” ของฝ่ายตรงข้าม รวมไปถึงต้องจับตาอีกว่า จะมีการแก้ไข มีส.ส.พึงมี และการหารหา ส.ส.บัญชีรายชื่อ ด้วยจำนวน 500 แทน ที่จะเป็น 100 ซึ่งก็ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ว่าจะออกมาในรูปไหน
จากการยืนยันของ “แรมโบ้” เสกสกล อัตถาวงศ์ ว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ ต้องเดินหน้าต่อไป แม้ว่าเลื่อนเปิดตัว “บิ๊กเนม” ออกไปราวเดือน พฤษภาฯ ถึงมิถุนายน ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และที่สำคัญหากพรรคพลังประชารัฐ จะเสนอชื่อ “บิ๊กตู่” เป็นแคนดิเดตนายกฯ ก็ต้องเสนอเพียงชื่อเดียวเท่านั้น ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ยืนยันเสนอพล.อ.ประยุทธ์ คนเดียวอยู่แล้ว
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากไทม์ไลน์ ในเดือนพฤษภาคม ที่เริ่มเปิดสภาพอดี และมีความไม่แน่นอนทางการเมืองสูง การยืดเวลาออกไปแบบนี้ ทางหนึ่งมันก็เหมือนเป็นการ “ถ่วงดุล” ไม่ให้ “ขาลอยอีกต่อไป เพราะหากเห็นท่าไม่ดี ก็อาจใช้วิธียุบสภา แล้วรักษาการนายกฯ ขณะเดียวกัน หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ มันก็ทำให้การย้ายสังกัดของ ส.ส.ทำได้ภายใน 30 วัน ทำให้การ“ดูด” การย้ายค่ายทำได้สะดวก ที่สำคัญยังเป็นการ “บีบพี่ใหญ่” ให้ต้องรีบเคลียร์คัตให้ชัด!!