xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ ปัดเดินตลาดสะพานขาวเพื่อหาเสียง พ้อมองทุกอย่างเป็นการเมือง ด่ากันไปมาไม่ใช่คุณลักษณะคนไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“บิ๊กตู่” พ้อถูกวิจารณ์เดินตลาดสะพานขาว หาเสียง ย้อนถามจะหาเสียงช่วยใคร ขออย่ามองทุกอย่างเป็นการเมือง แค่อยากให้กำลังใจพ่อค้าแม่ค้า พร้อมหาโอกาสไปอีก บอกไม่อยากให้แต่ละฝ่ายมาด่ากันต่อหน้าต่อตา มาว่ากันไปว่ากันมา นี่ไม่ใช่คุณลักษณะของคนไทย ทำให้ประเทศหมดเสน่ห์
วันนี้ (30 มี.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ตลาดทรัพย์สินพัฒนา (ตลาดสะพานขาว) เมื่อเย็นวันที่ 29 มี.ค.ว่า เนื่องจากพอมีเวลาตนจึงได้ลงไปดู ไปเยี่ยม เพื่อให้กำลังใจกับบรรดาพ่อค้าแม่ค้า ซึ่งต้องขอชื่นชมโดยได้สอบถามผู้ค้าหลายรายว่าขายหมดหรือไม่ ซึ่งบางเจ้าก็ขายหมด บางเจ้าก็ขายเกือบหมด จึงถามต่อว่าหากขายไม่หมดแล้วทำอย่างไร ซึ่งผู้ค้าได้ระบุว่าถ้าขายไม่หมดก็นำไปแปรรูปทำอย่างอื่น ตนถามว่าถ้าขายไม่หมดอีกจะทำอย่างไร ผู้ค้าบอกว่านำไปแจกคน ตนได้ยินก็ชื่นใจ และขอบคุณจริงๆ ถ้าคิดกันได้แบบนี้ หลายคนระบุว่า ก็ลำบากหน่อย เพราะปัจจุบันรายได้ลดลง การซื้อของต่างๆ ก่อนหน้านี้ซื้อได้จำนวนมากแต่ปัจจุบันก็ลดลง ซึ่งตนได้สอบถามลูกค้าว่าเข้าใจหรือไม่ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอะไร ซึ่งผู้ค้าก็บอกว่าเข้าใจ ซึ่งตนก็ได้ให้กำลังใจโดยบอกว่าจะพยายามทำอย่างเต็มที่ ซึ่งตนทราบดีว่าทุกคนเดือดร้อน ไม่มีความสุข แล้วตนที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะมีความสุขได้อย่างไร ทุกอย่างก็ได้รับการรายงานตลอดเวลาทุกวัน 24 ชั่วโมง มีทั้งรูป ทั้งคลิปสื่อต่างๆ แม้แต่สังคมโซเชียล
“ผมได้ติดตามในทุกด้าน ผมรู้ดีว่าเดือดร้อนอะไรกันอย่างไร แต่ประเด็นสำคัญคือเราจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างไรโดยไม่มีผลกระทบไปสู่ส่วนอื่นในระยะยาว ทั้งในเรื่องของงบประมาณการเงินการคลัง เรื่องความพอเพียงและความพอใจของประชาชน ซึ่งทั้งหมดต้องมาหารือร่วมกัน ซึ่งผมมีคณะทำงานหลายคณะกว่าจะออกโครงการอะไรมา ก็ต้องมีการถกแถลงทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน และถ้าสถานการณ์ยืดยาวไปกว่านี้จะทำอย่างไรและหาเงินที่ไหนหามาได้อย่างไร ทั้งหมดยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแต่รัฐบาลทำอย่างเต็มที่ ต้องขอขอบคุณประชาชนอย่างน้อยที่เข้าใจว่าปัญหาเกิดขึ้นจากอะไร” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า อยากจะชี้แจงสื่อตรงนี้ว่าตนในฐานะผู้นำรัฐบาลก็พยายามทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ ในการที่จะแก้ไขปัญหาให้ได้ บางอย่างอาจจะไม่ได้ 100% หรือไม่เป็นที่พอใจของทุกคนทุกภาคส่วน แต่ต้องยอมรับว่าวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนพร้อมๆ ในเวลาใกล้เคียงกัน แม้แต่ในประเทศไทยเราไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ในยุคสมัยใหม่ขณะนี้
”เจอโควิดเข้าไปถามว่าใครเคยเจอบ้างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ใครเคยเจอบ้างสถานการณ์การสู้รบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่และผลกระทบในทุกมิติที่หลายประเทศมีความเชื่อมโยงกัน เรื่องนี้ต้องเข้าใจและให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลด้วย ผมเองไม่เคยนิ่งดูดายในทุกๆงาน แล้วจะหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนอีกในโอกาสที่เหมาะสม ในหลายๆ พื้นที่ผมก็อยากไปคุยกับพวกเขา ให้กำลังใจกับพวกเขา แม้ใครจะชอบหรือไม่ชอบ ผมก็ไม่สนใจตรงนั้นอยู่แล้ว ผมต้องการจะไปเพื่อเห็นหน้าเห็นตาพวกเขา เพราะได้เห็นจากสื่อและสังคมโซเชียลต่างๆ มามากพอสมควรแล้วซึ่งก็มีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจ ผมถือเป็นเรื่องธรรมดา จะให้ใครรักเราทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ แต่ขอให้เขาเข้าใจว่าความตั้งใจของผมคืออะไร ผมพยายามทำอย่างดีที่สุด” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่ขณะเดียวกัน มีการมองว่าการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการไปช่วยหาเสียงเพื่อช่วยเหลือใครหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ว่า “ทำไมต้องมองไปในเรื่องการหาเสียงด้วย ผมไปหาเสียงให้ใครหรือ มันช่วงหาเสียงหรือเปล่า ไปหาเสียงให้ใคร หาเสียงอะไร” เมื่อผู้สื่อข่าวระบุว่าในช่วงนี้เป็นฤดูการหาเสียงท้องถิ่น โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานครแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เลือกตั้งอะไร เลือกตั้งกรุงเทพมหานคร แล้วผมไปเลือกให้ใคร ผมพูดกับใคร ผมให้เครดิตใครหรือ ถ้ามองกันอย่างนี้ก็ไม่ต้องทำอะไร พอไม่ไปก็ว่าผม พอไปก็ว่าผมอีก ช่วงไหนไปได้ก็ไป
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า การเป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ ประเทศไทยมันไม่ใช่แบบนี้มาก่อน ที่เวลาจะไปไหนก็มีกลุ่มนั้นกลุ่มนี้มาต่อต้าน มาด่ามาว่า มันไม่เคยมี มันเริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่มันเคยเกิดขึ้นมาหรือไม่ แล้วจะให้มันเกิดขึ้นอีกหรือ ตนไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งกันตรงนี้ด้วย เพราะฉะนั้นการไปไหนอะไรก็ตามถ้ามีการแจ้งล่วงหน้าเมื่อไหร่ก็มีเรื่องกันทุกที เพราะฉะนั้นตนก็จะหาโอกาสของตัวเองถ้าสามารถไปได้ก็จะไป ดังนั้นก็ต้องรับฟังเจ้าหน้าที่ฝ่ายที่เค้ารับผิดชอบในพื้นที่นั้นๆ ที่เขาต้องดูแลเรื่องของความปลอดภัย มันต้องให้เกียรติซึ่งกันและกันบ้าง
“อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า เหตุการณ์ลักษณะนี้น้อยลง สมัยก่อนมากกว่านี้ ผมเข้ามากี่ปีแล้วมันลดลงหรือไม่ มันก็ลดลงไปนะ เพราะผมไม่ต้องการให้คนแต่ละฝ่ายมาตีกันหรือมาด่ากันต่อหน้าต่อตา มาว่ากันไปว่ากันมา และนี่ไม่ใช่คุณลักษณะของประเทศไทยของคนไทยเลย มันทำให้ประเทศหมดเสน่ห์ ผมถามว่าความขัดแย้งมันได้อะไรขึ้นมาอยากจะรู้ตรงนี้เท่านั้นเอง มีบางคนก็หวังแต่จะชนะ ผมถามว่าถ้าชนะแล้วมันมีความขัดแย้งแล้ว จะได้ประโยชน์อะไรขอถามหน่อย แล้วจะรักษาชัยชนะนั้นไว้ได้หรือไม่ ถ้าทำแล้วชนะแต่ความสงบความเรียบร้อยไม่เกิดขึ้น แต่ผมก็มีหน้าที่ของผมตรงนี้ในการที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อย
“ขอให้ย้อนกลับไป 7-8 ปี ที่ผ่านมาก่อนหน้านั้นอะไรมันเกิดขึ้น วันนี้หลายโครงการที่อนุมัติออกไปผมเน้นให้ลงในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ของใครก็ตาม ถ้ามีความจำเป็นเร่งด่วนประชาชนต้องการผมก็ทำให้ ผมไม่ได้เลือก และนี่คือผม นี่คือรัฐบาลผม ไม่ใช่มองอะไรก็เป็นเรื่องการหาเสียงไปหมด ทำงานก็คือทำงาน บริหารก็คือบริหาร ขอให้แยกแยะ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดความไม่เข้าใจกันไปเรื่อยเปื่อย บิดเบื่อนกันไปมาถามว่ามันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมากับการสร้างคนแยกออกเป็น 2-3 ฝ่าย แล้วมันจะอยู่กันไปอย่างไรในวันข้างหน้า ใครจะอยู่ผมก็ยังไม่ทราบ ผมต้องการให้ประเทศชาติมีความรักมีความสามัคคี ก็แค่นั้นเอง” นายกฯ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น