ยังปากกล้า? “ก้าวไกล” แถลงไม่หวั่นถูก กกต.เรียกชี้แจง คดีล้มล้างฯ ยันทำเพื่อ ปชช. “ดร.อานนท์” พร้อมให้การชนิดจัดหนัก? “โบว์” ดักคอ ปชต.ไม่ควร “ยุบพรรค” บ่อย “ทักษิณ” ซัด ลูกน้องเก่ากล่าวหาล้มเจ้า
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (30 มี.ค.) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น ก้าวไกลหนาว! “ดร.อานนท์” พร้อมให้การ กกต.สอบล้มล้างการ ปค.? คดีนี้ถึงยุบพรรค
โดยระบุว่า จากกรณีที่ นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะรองเลขาธิการพรรคฯ ร่วมกันแถลงเรื่องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีหนังสือเรียกไปชี้แจงกรณีที่มี ส.ส.พรรคก้าวไกล อภิปรายตรวจสอบงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อาจขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 92(2) เข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือไม่
นายชัยธวัช กล่าวว่า เนื่องจากมีผู้ยื่นคำร้องต่อ กกต.ว่า การอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เมื่อเดือน ส.ค. 54 ของ ส.ส.พรรคก้าวไกล ในประเด็นงบประมาณของหน่วยราชการในพระองค์ และเนื้อหาการเผยแพร่หลังจากนั้นเข้าข่ายปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น
พรรคก้าวไกล ขอชี้แจงว่า ประการแรก ตามบันทึกข้อเท็จจริง และรับทราบข้อเท็จจริงที่ กกต.ส่งมาถึงพรรคก้าวไกล เพื่อให้โต้แย้งประเด็นที่ถูกร้อง ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ข้อความใดที่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์อันเป็นประมุข มีแต่ความคลุมเครือ ไม่ชัดเจน ทั้งที่ข้อหาร้ายแรงถึงขั้นยุบพรรคการเมือง
ประเด็นที่สอง การอภิปรายงบประมาณตามที่ถูกร้องเป็นการทำหน้าที่ตามปกติของผู้แทนราษฎร เพื่อให้งบประมาณทุกหมวด ทุกกระทรวง ทุกหน่วยรับงบประมาณ มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ การกระทำของ ส.ส.พรรคก้าวไกล ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง และไม่ใช่เหตุที่ทำให้ถูกยุบพรรคได้
นายชัยธวัช ระบุอีกว่า การทำหน้าที่ของผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล มีแต่ทำให้เกิดผลประโยชน์กับประชาชนในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุด และยังทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นที่เคารพ ดำรงอยู่อย่างสอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย มีพระราชสถานะดำรงไว้ดังเช่นนานาอารยประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ เราจะยืนหยัด ทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรต่อไป เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นพื้นที่ของประชาชน และอำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน
ขณะที่ น.ส.เบญจา ได้กล่าวว่า กระบวนการพิจารณางบประมาณเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เป็นขั้นตอนปกติที่สภาผู้แทนราษฎรจะมีส่วนร่วมแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้มีประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน การอภิปรายของตนเป็นการอภิปรายตามชื่อโครงการ และหน่วยงานตามเอกสารรับงบประมาณทั้งสิ้น
เมื่อหน่วยราชการของบประมาณมา ถ้าเราเห็นงบประมาณไม่เหมาะสมเช่นนี้เรามีหน้าที่ตัด จัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสม เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน และภายหลังจากการอภิปรายเสร็จแล้ว ในการลงพื้นที่ตนได้รับกระแสตอบรับจากประชาชน เป็นกำลังใจให้กับพรรคก้าวไกล และเห็นด้วยกับการตัดลดงบส่วนราชการในพระองค์
น.ส.เบญจา ย้ำว่า ในฐานะ ส.ส.ขอยืนยันว่า จะยังคงทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และตรวจสอบงบประมาณต่อไป เราจะต่อสู้ ยืนหยัด ยืนตรง ประจันหน้าต่อผู้มีอำนาจ เพื่อเรียกศรัทธาให้กับสภาผู้แทนราษฎร เพื่อที่จะทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน
ขณะที่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า กรณีนี้เป็นการทำให้ ส.ส.และสภาผู้แทนราษฎร ไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างที่ควรจะเป็น หากเราไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ ตนไม่แน่ใจว่าเราจะมีสภาผู้แทนราษฎรไว้ทำไม หากเรามองอย่างเป็นธรรม การที่มีหน่วยงานของบประมาณจากประชาชน เราต้องทำหน้าที่ตรวจสอบงบประมาณ อภิปรายงบประมาณ แต่กรณีเช่นนี้เมื่อเราทำหน้าที่แล้วกลับถูกโดนฟ้องร้อง ข้อหาถึงยุบพรรค สุดท้ายการตัดงบประมาณไม่สามารถทำได้เลย นี่เป็นการสร้างความกลัวที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับพรรคก้าวไกล แต่เป็นการสร้างความกลัวให้กับผู้แทนราษฎรทุกคน
ล่าสุด ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าวว่า
“กกต. เรียกสอบพรรคก้าวไกล กรณีอภิปรายงบประมาณหน่วยราชการในพระองค์บิดเบือนโกหก เข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯหรือไม่ เรื่องนี้ผมชี้แจงข้อเท็จจริงและท้าพิธา ธนาธร ปิยบุตร มาดีเบตกับผมออกโทรทัศน์ ก็ไม่กล้ามา คงกลัวกะลาแหก ช่างมัน เอาเป็นว่า ผมยินดีไปให้การกับ กกต. ครับ”
ขณะเดียวกัน “โบว์” ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ Bow Nuttaa Mahattana ระบุว่า...
“ประเทศที่เรียกตัวเองว่า ประชาธิปไตยที่ไหนยุบพรรคการเมืองได้แทบทุกปี ไม่ปกติแน่ๆ ค่ะ ต่อให้เป็นพรรคที่เราเกลียดแค่ไหน ถ้าไม่ถึงขั้นเป็นองค์กรอาชญากรรม ก็ควรหายไปด้วยการไม่ถูกเลือก ไม่ใช่การถูกยุบ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 65 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือ “โทนี่ วู้ดซัม” ร่วมสนทนาผ่านคลับเฮาส์ในรายการ CARE Talk x CARE ClubHouse หัวข้อ “มองเมืองดูไบ ใส่ใจกรุงเทพฯ ถึงตัวอยู่ไกล แต่ใจยังคิมิโนโตะ” โดยตอนท้าย นายทักษิณ ระบุว่า
“อยากพูดถึงความไม่สบายใจบางเรื่อง มีคนที่ออกจากพรรคผม เป็นคนที่พูดไปพูดมา ไปเจอพวกไฮโซทั้งหลาย เขาก็ถามว่าทำไมออกจากผม รู้ไหมว่าเขาตอบว่าอย่างไร เขาตอบว่าผมไม่เอาในหลวง ท่านอยู่เบื้องสูง ทำไมไปดึงท่านลงมา
จริงๆ แล้ว ขอเรียนว่า ผมไม่เคยมีอคติ หรือความไม่เคารพพระเจ้าอยู่หัวเลย เพราะผมถวายงานท่านตั้งแต่เป็นนักธุรกิจ ดังนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระ ไฮโซทั้งหลายก็มาถามผมว่าจริงหรือ ผมเลยเล่าให้ฟัง
และคนๆ เดียวกันนี้ ก็ไปชวน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ว่ามาอยู่พรรคเขาเถอะ พรรคเพื่อไทยถูกยุบแน่ เพราะในหลวงไม่เอา บังอาจจริงๆ ไม่น่าเลย
เรื่องนี้พระเจ้าอยู่หัวท่านอยู่สูง ท่านไม่ยุ่งกับการเมือง การเมืองสกปรกอย่าไปเอาท่านลงมา นี่เป็นสิ่งที่เลวทรามมาก เมื่อไปถึงพื้นที่ก็ไปบอกคนในพื้นที่อีกว่า นี่เป็นพรรคสาขากัน เลือกใครก็เหมือนกันแหละ สับสนกันไปหมด ดังนั้น ผมถือว่าใครออกจากพรรคเพื่อไทยถือเป็นลูกน้องเก่า แวะมาดูไบก็กินข้าวกับผมได้ตลอด ขอแค่อย่าด่าพ่อล่อแม่ผมเท่านั้น”
แน่นอน, ทุกประเด็นมีความเกี่ยวเนื่องกัน อันเนื่องมาจากความพยายาม “ปฏิรูปสถาบันฯ” ซึ่งถือว่า เป็นเรื่องใหญ่ของคนไทย เพราะคนไทยส่วนใหญ่ ยังมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างมั่นคง
แต่เนื่องจากมีความเคลื่อนไหว “ปฏิรูปสถาบันฯ” ของเยาวชน คนรุ่นใหม่ และกลุ่มคนหัวก้าวหน้าในนามขบวนการ “3 นิ้ว” และม็อบ 3 นิ้ว ทำให้มีนักการเมืองบางพรรค พยายามโหนกระแส เยาวชน คนรุ่นใหม่ เพื่อหวังคะแนนนิยมจากคนส่วนนี้
โดยเฉพาะพรรคฝ่ายค้าน อย่าง ก้าวไกล และเพื่อไทย ที่มีการแฉจาก “ท่อน้ำเลี้ยงม็อบ 3 นิ้ว” ว่า มีสวนสนับสนุนม็อบ 3 นิ้ว จึงถูกมองว่า มีแนวทางทางการเมืองเดียวกันหรือไม่
ยิ่งกว่านั้น สำหรับ “ก้าวไกล” ยังเล่นการเมืองแบบอิงยุทธศาสตร์ “ปฏิรูปสถาบันฯ” อย่างสอดรับกับม็อบ 3 นิ้ว ชัดเจน
รวมทั้ง “ทักษิณ” เอง ก็ถูกจับตามองการเคลื่อนไหวในแบบ “สู้ไปกราบไป” ด้วยเหตุที่เพื่อไทยถูกแฉว่า เป็นหนึ่งในท่อน้ำเลี้ยง และคนของพรรค สนับสนุนม็อบ 3 นิ้ว
อ้างถึงกรณีเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 64 นายปกรณ์ พรชีวางกูร หรือ เฮียบุ้ง หนึ่งในท่อน้ำเลี้ยง สนับสนุนม็อบในช่วงแรก ร่วมกับ ทราย-อินทิรา เจริญปุระ เปิดเผยว่า เด็กปั้นพรรคเพื่อไทย อยู่เบื้องหลังม็อบทั้งนั้น
“เพื่อไทยไม่ควรทำการเมือง กล้าๆ กลัวๆ ไม่ต้องกลัวว่ามาแตะม็อบแล้วจะโดนยุบอะไรหรอก ถ้าโดนยุบเพราะต่อสู้ ยังไงพวกเราก็เลือกแน่ เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
เคยสนับสนุนอะไรในการต่อสู้มาเยอะ แต่ไม่เคยประกาศออกสื่ออะไรใดๆ ทุกๆ ครั้ง เลือกที่จะวางเอาไว้เงียบๆ แล้วเดินออกไป
แต่มันไม่ใช่ ถ้าคุณจะเอาเสียงคนรุ่นใหม่ ซึ่งมันมีหลายล้าน แล้วเสียงกลุ่มนี้ทั้งหมดอยู่ในม็อบ คุณก็ต้องปล่อยหมัดโปรโมตตัวเองบ้าง
เด็กที่อยู่เบื้องหลังม็อบหลายๆ คน ก็เด็กในโครงการ The Change Maker ทั้งนั้น…”
อาจด้วยเหตุนี้ก็เป็นได้ ที่ทำให้ลูกน้องเก่า “ทักษิณ” ก็ยังเชื่อว่า “ทักษิณ” ไม่เอาเจ้า?
อย่างไรก็ตาม สำหรับพรรคก้าวไกล คงต้องเป็นหน้าที่ของ กกต. ที่จะไต่สวนข้อเท็จจริง ก่อนที่จะตัดสินใจฟ้องพรรคก้าวไกลหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน และการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของพรรคก้าวไกล ว่าจะฟังขึ้นหรือไม่ คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป