“เกรียง” อ้างพา ส.ส.เพื่อไทย ทัวร์พักผ่อนที่สิงคโปร์ ทำให้เจอ “นายใหญ่” โดยบังเอิญ “พี่ศรี” ไม่ปล่อย จ่อยื่น ป.ป.ช.สอบจริยธรรม ทำเสื่อมเกียรติผู้แทน ย้อนปมวิดีโอคอล “ครอบงำ?” เพื่อแม้ว จะโกหกได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (10 มี.ค.) นายเกรียง กัลป์ตินันท์ แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีมีภาพปรากฏนั่งทานอาหารร่วมกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ประเทศสิงคโปร์ ว่า ตนจองทัวร์เพื่อไปสิงคโปร์ไว้ตั้งแต่ปี 63 แต่ติดปัญหาโควิด-19 ทัวร์เพิ่งแจ้งว่าเดินทางไปได้ช่วงนี้ ตนและผู้แทนในพื้นที่อีสาน 10 กว่าคน พร้อมด้วยลูก-เมีย รวมแล้ว 20 กว่าคน จึงเดินทางไปพักผ่อนและไปทานข้าวตามที่ทัวร์เขาจัดให้ปกติ ซึ่งได้พบนายทักษิณที่ไปพร้อมกับน้องสาวที่ห้องอาหารแห่งนั้นโดยบังเอิญ
“ต่างคนต่างนั่งโต๊ะตัวเอง เพราะทางร้านอาหารให้นั่งโต๊ะละไม่กี่คน แต่ได้มีโอกาสไปนั่งร่วมโต๊ะพุดคุยกันนิดหน่อย เนื้อหาที่พูดคุยเป็นเรื่องทั่วไปถามสารทุกข์สุกดิบ สัพเพเหระ เพราะนานๆ จะเจอกันสักครั้ง ไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องการเมืองแต่อย่างใด” นายเกรียง กล่าว (จากแนวหน้า)
ขณะเดียวกัน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า จากกรณีที่ปรากฏภาพของแกนนำ และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เดินทางไปพบ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ประเทศสิงคโปร์นั้น ในวันพรุ่งนี้ (11 มี.ค.) เวลา 10.00 น. ตนจะเดินทางไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบเอาผิดกับ ส.ส.ที่ปรากฏในภาพ เนื่องจากเข้าข่ายว่า เป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรมร้ายแรง เพราะเรื่องนี้ระบุชัดเจนในประมวลจริยธรรม ว่า ห้าม ส.ส.ไปคบค้าสมาคมกับผู้มีอิทธิพลหรือผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย และเป็นที่ปรากฏชัดเจนว่านายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องคดีที่มีคำพิพากษาหลายคดี เป็นนักโทษหนีคดี และภาพก็ปรากฏชัดว่า ส.ส.เหล่านั้นตั้งใจไปพบ เป็นการคบค้าสมาคม ไม่ใช่การพบเจอแบบบังเอิญ จึงมีความผิดชัดเจนว่า เป็นการกระทำให้เสื่อมเสียเกียรติความเป็น ส.ส.
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 61 มี ส.ส.หลายคนไปพบเจอนายทักษิณ แต่ตอนนั้นคนเหล่านี้ยังไม่ได้เป็น ส.ส. แต่ตอนนี้ทุกคนเป็น ส.ส.หมดแล้ว รวมถึงจากที่มีข่าวว่า มี ส.ส.พรรคเพื่อไทยไปพบนายทักษิณที่ดูไบก็ไม่มีภาพหลักฐานการเข้าพบชัดเจนเหมือนครั้งนี้ที่พิสูจน์แล้วว่า ส.ส.เหล่านั้นทำผิดจริยธรรมร้ายแรง ตนเชื่อว่า ป.ป.ช.จะรับคำร้อง และตั้งคณะทำงานขึ้นมาสอบสวนเรื่องดังกล่าวก่อนที่จะส่งให้อัยการเพื่อส่งฟ้องศาลชี้มูลความผิดต่อไป
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น หากย้อนไปเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 64 เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น หนาวยกพรรค! ป.ป.ช. เรียก “ศรีสุวรรณ” ให้ถ้อยคำเพิ่ม ปมร้องสอบ “ทักษิณวิดีโอคอล” ครอบงำเพื่อไทย
โดยระบุว่า หลังจากเป็นประเด็นให้มีการร้องเรียนและยื่นต่อ ป.ป.ช. ให้สอบกรณี นายทักษิณ ชินวัตร ได้วิดีโอคอล กลางงานเลี้ยง สมาชิกพรรคเพื่อไทย ว่า เข้าข่ายครอบงำพรรคหรือไม่นั้น
ต่อมาเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 64 นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยความคืบหน้าเรื่องนี้ ว่า กกต. เรียกตนมาให้ถ้อยคำจากกรณีที่ยื่นเรื่องร้องต่อ กกต. ให้ยุบพรรคเพื่อไทย เนื่องจาก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วิดีโอคอลงานเลี้ยงวันเกิด นายเกรียง กัลป์ตินันท์ สมาชิกพรรคเพื่อไทย อดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111 โดยคุยกับสมาชิกพรรคผ่านวิดีโอคอล ซึ่งอาจขัดและฝ่าฝืนต่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 28, 29 และมาตรา 74(1) เข้าข่ายครอบงำพรรคเพื่อไทยหรือไม่
“ผมกล่าวหาพรรคเพื่อไทย และอดีตนายกฯ ทักษิณ ว่า กระทำผิดต่อระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ โดยอดีตนายกฯ ทักษิณ ได้ชี้นำครอบงำ ทำจริงและทำให้เห็น ซึ่งจากคำพูดดังกล่าวของท่านกับสมาชิกพรรค ว่า ไม่ต้องห่วงที่มีคนลาออกจากพรรค แม้รับเงินแล้วต้องกลับมา”
ด้าน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เผยเช่นกันว่า ตนเองได้รับหนังสือจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ไปให้ถ้อยคำในวันนี้ เรื่องที่สมาคมฯ ได้ร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 64 ที่ผ่านมา
กรณีมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอที่มี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วิดีโอคอลเข้ามาพูดคุยกับ ส.ส. และผู้บริหารของพรรคเพื่อไทย กลางวงงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดนักการเมืองดัง ในพื้นที่ย่านเหม่งจ๋าย เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 64 ที่ผ่านมา ว่า กระทำดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหรือครอบงำหรือชี้นำพรรคการเมืองหรือไม่นั้น
กรณีดังกล่าวมีการจัดเลี้ยง ส.ส. และผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก โดยมีการเสิร์ฟอาหารหวานคาว และที่สำคัญ มีการเสิร์ฟไวน์หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในงานเลี้ยงดังกล่าวด้วย ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนด ฉบับที่ 34 (ในขณะนั้น) ที่ออกตามความใน มาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2548 ประกอบ มาตรา 34(6) ของ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ด้วย ซึ่งผู้ที่อยู่ในงานเลี้ยงดังกล่าวส่วนใหญ่เป็น “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” แต่กลับปรากฏว่าได้กระทำเสียเอง ซึ่งอาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันอาจเป็นความผิดตามกฎหมาย ซึ่งอยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช. ที่จะทำการไต่สวน วินิจฉัย และเสนออัยการฟ้องต่อศาลเพื่อลงโทษให้พ้นจากตำแหน่งและตัดสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งได้
ส่วนกรณีที่งานเลี้ยงดังกล่าวมี ส.ส. และผู้บริหารของพรรคเพื่อไทย เป็นจำนวนมาก แต่กลับปล่อยให้นายทักษิณ วิดีโอคอลเข้ามาพูดคุยการเมืองด้วย อาจเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 28 และ มาตรา 29 ของ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 หรือไม่ เพราะกฎหมายดังกล่าวกำหนดว่า
“ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทําการใดอันทําให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม” ซึ่งเรื่องดังกล่าว สมาคมฯ ได้ร้องเรียนกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไว้แล้ว และคณะอนุกรรมการไต่สวนของ กกต. ได้เรียกไปไต่สวนแล้วเช่นกัน
“เรื่องที่เกิดขึ้น มีพยานหลักฐานเป็นวิดีโอคอล มีถ้อยคำผูกมัดชัดเจน พร้อมรูปถ่ายหน้าตาของ ส.ส. และผู้บริหารของพรรคเพื่อไทยกว่า 11 คน ซึ่งสมาคมฯ ได้มอบไว้ให้กับ ป.ป.ช. ทั้งหมด และน่าจะเป็นหลักฐานสำคัญที่ใช้เป็นหมัดน็อกพรรคการเมือง และหรือนักการเมืองที่ฝ่าฝืนกฎหมายได้ ซึ่งปีใหม่ 2565 น่าจะมีปรากฏการณ์ฟ้าผ่าแถวๆ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ อีกครั้งเป็นแน่แท้”
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ การท้าทายต่อคนไทย ของนายทักษิณ กับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ทำเหมือนคนไทยโง่หนักหนา กับข้ออ้างที่ดื้อตาใส โกหกหน้าด้านๆ กรณีพบกันโดยบังเอิญที่สิงคโปร์ และได้รับประทานอาหารร่วมกัน โดยไม่มีการติดต่อประสานงานกันไว้ก่อน รวมทั้งที่บอกว่า ไม่ได้ปรึกษาหารือเรื่องการเมือง ใครจะเชื่อ?
ยิ่งเมื่อย้อนกลับไปดู การกระทำในทำนองนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนมีสำนวนร้องต่อ กกต. และ ป.ป.ช.เอาไว้แล้ว ทั้ง “ทักษิณ” และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็ไม่ได้สะทกสะท้าน ต่อคดียุบพรรค และท้าทายกฎหมาย ท้าทายองค์กรที่เอาผิด เหมือนไม่กลัวเกรงแม้แต่น้อย ซึ่งเมื่อถูกเอาผิด ก็กล่าวหาองค์กรเอาผิดตามกฎหมายว่า กลั่นแกล้งรังแก เป็นเกมการเมืองของรัฐบาล ทั้งที่ตัวเองทำตัวเอง อย่างท้าทาย
ยิ่งกว่านั้น ต้องถือว่า ลบหลู่เกียรติศักดิ์ศรี และข้ามหัวคนไทย (ที่ไม่ใช่สาวกทักษิณ) อย่างมาก ที่เหมือนไม่สนใจว่าคนไทยจะคิดอย่างไร
ต่อให้เอาผิดตามกฎหมายไม่ได้ แต่คนไทยก็เข้าใจอย่างชัดแจ้งว่าอะไรเป็นอะไร เล่นการเมืองอย่างไร
ถ้าคิดว่า การดูถูกคนไทยด้วยวิธีนี้จะทำให้ได้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ก็จงทำต่อไป จนกว่าจะมีการเลือกตั้ง แล้วมาดูกันว่า อะไรจะเกิดขึ้น และถ้าถูกเอาผิดขั้นยุบพรรคก็อย่าโวยแล้วกัน!?