เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่า “เผลอเป็นไม่ได้” จริงๆ สำหรับ พรรคเพื่อไทย ที่ถูกสังคมมองว่า เป็นพรรคของนายทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวชินวัตร ที่ล่าสุด ถูกสงสัยอีกแล้วว่าพวกเขากำลังพยายามแก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ “คนนอก” หรือคนทั่วไปเสนอความเห็น เพื่อให้พรรคสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้ ความหมายฟังดูเผินๆ เหมือนกับดูดี มีการเปิดกว้าง แต่หากพิจารณากันแบบอีกมุมหนึ่ง มันก็คือ การเปิดทางให้ “บางคน” สามารถชี้นำสั่งการ หรือ “ครอบงำ” พรรคได้อย่างถูกกฎหมาย และเป้าหมายที่สังคมสงสัย ก็คือ นายทักษิณ ชินวัตร หรือ “โทนี่” ที่แทบทุกคนเข้าใจดีอยู่แล้วว่าเป็น “เจ้าของพรรคตัวจริง” นั่นเอง
ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยได้ถูกร้องในความผิดเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรค จากกรณีที่ให้ นายทักษิณ ชินวัตร แสดงความเห็นในลักษณะชี้นำพรรค มีการโฟนอินเข้ามาในที่ประชุม ส.ส.ของพรรค มีการพูดในเรื่องการเลือกตั้งแบบ “แลนด์สไลด์” รวมไปถึงการสนับสนุนหาเสียงให้เลือกผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่เมื่อปีที่แล้ว ทุกอย่างก็ยังมีความเสี่ยงในเรื่องถูก “ยุบพรรค” ได้อีก
แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ทำให้เห็นว่า พรรคการเมืองพรรคนี้ ไม่ยอมก้าวข้ามนายทักษิณ ชินวัตร สักที ซึ่งในความเป็นจริงก็ข้ามไม่ได้ เพราะเขาเป็นเจ้าของพรรคหรือไม่
แน่นอนว่า ตามวาระที่กำหนดออกแล้วว่า ในวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ ก่อนปิดสมัยประชุมสภาสมัยสามัญ ที่ประชุมร่วมรัฐสภาจะมีการประชุมเพื่อพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญจำนวนสองฉบับ ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง นั่นคือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (คณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ) และ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....(คณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ) โดยรวมๆ กันแล้วมีผู้เสนอร่างทั้งในนามพรรคการเมือง และ ส.ส.มีทั้งหมดจำนวน 10 ฉบับ แต่ที่กลายเป็นจุดสนใจ และถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอีกครั้งก็คือ ร่างกฎหมายฉบับที่ 3 ที่เสนอโดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง จากพรรคประชาชาติ และฉบับที่ 4 ที่เสนอโดย นายชลน่าน ศรีแก้ว จากพรรคเพื่อไทย
นั่นคือความพยายามในการ “สอดไส้” หรือ “ลักไก่ ลักหลับ” อะไรประมาณนั้น ด้วยการเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมเข้ามาในสองมาตรา คือ มาตรา 28 และ มาตรา 29
โดยมาตรา 28 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอม หรือกระทําการใดอันทําให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมือง หรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม”
และมาตรา 29 “ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการใดอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํากิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม”
ทั้งนี้ มาตรา 28 พรรคเพื่อไทย แก้เพิ่มเติมวรรคสองขึ้นมา “การกระทำตามวรรคหนึ่งมิให้หมายความรวมถึงการที่บุคคลอื่นนั้นได้ให้คำปรึกษา แนะนำ เสนอแนะ หรือให้ข้อมูลแก่พรรคการเมือง เพื่อประกอบการตัดสินใจในการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองนั้น”
ขณะเดียวกัน มาตรา 29 แก้เพิ่มว่า “ให้นำความในวรรคสองของมาตรา 28 มาใช้บังคับแก่การกระทำตามวรรคหนึ่งโดยอนุโลม”
ขณะที่ ร่างแก้ไขที่เสนอโดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ที่เสนอให้ตัด มาตรา 28 และ มาตรา 29 ทิ้งไปเลย ซึ่งเมื่อพิจารณาเนื้อหา และแบ็กกราวนด์ คนที่เสนอร่างกฎหมายมันทำให้ย้อนนึกไปถึงกรณีการออกกฎหมาย “นิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง” หรือ “สุดซอย” ในยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ทำให้พังกันทั้งขบวน จนต้องร่อนเร่เป็น “สัมภเวสี” กันทั้งพี่ทั้งน้องมาจนถึงทุกวันนี้
แน่นอนว่า “ร้อยเอาขี้หมากองเดียว” มันไม่มีทางผ่าน ตกไปตั้งแต่เริ่มเข้าสภาแล้ว และกรณีนี้ ทางสมาชิกวุฒิสภาก็ได้แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่า ไม่เอาด้วย รวมไปถึง ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ก็ไม่เอา ทำให้ค่อนข้างมั่นใจว่าร่างที่น่าจะผ่านที่ประชุมรัฐสภาได้ไม่ยาก ก็คือ ร่างที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี ที่ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและสมาชิกวุฒิสภาต่างยืนยันให้การสนับสนุน
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันในภาพรวมแล้ว งานนี้ในผลประโยชน์ทางการเมืองแล้ว ก็ยังถือว่าพรรคเพื่อไทยมีแต่ได้กับได้ เพราะร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งที่ต่อเนื่องมาจากการแก้ไขให้การใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ และการนับคะแนนของ ส.ส.ในแบบบัญชีรายชื่อ ตามที่พวกเขาต้องการ และคิดว่า ได้เปรียบ มันย่อมผ่านความเห็นชอบอยู่แล้ว ทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นคราวหน้ามีการเปลี่ยนแปลงไปและพวกเขาน่าจะได้ประโยชน์ เหมือนกับก่อนหน้าที่ นายทักษิณ ชินวัตร ถึงกับมั่นใจว่าจะชนะแบบ “แลนด์สไลด์” กันเลยทีเดียว
แต่ก็นั่นแหละการเสนอแก้ไขในแบบ “สอดไส้” หรือลักไก่ เข้ามาของพรรคเพื่อไทย มันทำให้เห็นว่า “เผลอเป็นไม่ได้” เพราะลำพังเพียงแค่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งแบบบัตรสองใบนั้นยังถูกวิจารณ์ว่าทำไปเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวบ้านเลย ขณะเดียวกัน ยังมีความพยายามแก้ไขเพิ่มที่มีความหมายให้เข้าใจได้ว่าเป็นการเปิดทางให้ นายทักษิณ ชินวัตร เข้ามาครอบงำ ชี้นำพรรคเพื่อไทยได้อย่างเป็นทางการแบบไม่ผิดกฎหมายอีกต่อไป
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น มันยิ่งตอกย้ำให้เห็นมากขึ้นไปอีกว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของ นายทักษิณ ชินวัตร ไม่เคยคิดจะก้าวข้าม ยังเป็นพรรคของครอบครัวนี้ ถูกมองว่า ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของเจ้าของพรรคเท่านั้น และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าในที่สุดแล้วมันก็ต้องตกไป แต่เหมือนกับว่าหากมีช่องทำให้ดำเนินการแล้วก็ขอดันให้เต็มที่เสียก่อน เผื่อฟลุ๊ก อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับการ “ตอบแทนนาย” อะไรประมาณนั้น หรือเปล่า !!