เมืองไทย 360 องศา
หลังจากที่ต้องทนฟัง หรือได้รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการอภิปรายในสภา เมื่อวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา จากญัตติอภิปรายทั่วไปของฝ่ายค้านตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ด้วยความเซ็งต่อเนื่องกันตลอดสองวัน เนื่องจากไม่ได้ประโยชน์อะไร ทุกอย่างมีแต่เรื่องราวและข้อมูลเก่าๆ ที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไร สิ่งที่เห็นก็คือ การ “แข่งกันด่าๆ” เท่านั้น ซึ่งถือว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย มิหนำซ้ำ ยังต้องเปลืองน้ำเปลืองไฟอีกต่างหาก แต่ก็อย่างว่า ไม่อยากไปขัดคอ เพราะเขาบอกว่านี่คือ “ประชาธิปไตย” ที่ดีเลิศที่สุดในปฐพีนี้แล้ว ก็ว่ากันไป
อย่างไรก็ดี เมื่อก้าวพ้นออกมาจากเรื่องราวเหล่านั้น ก็ต้องกลับมาพบกับข่าวร้ายใหม่ แต่ก็ถือว่าเป็นข่าวร้ายเดิมที่วนกลับมาอีกรอบ นั่นคือ โรคระบาดโควิด-19 โดยคราวนี้ ก็คือ “สายพันธุ์โอมิครอน” ที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า เป็นการ “ระบาดรอบที่ 5” และเตือนให้ระวังยอดผู้ติดเชื้อว่าอาจพุ่งสูงถึงวันละนับแสนคน
ทั้งนี้ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หรือ “หมอยง” หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Yong Poovorawan” ในประเด็นการระบาดอยู่ใน “ขาขึ้น” โดย "หมอยง" ได้ระบุข้อความว่า
“ตามที่ได้กล่าวแล้ว สายพันธุ์ที่มีแนวโน้มไปได้เร็ว BA.2 เราคงหนีไม่พ้น ขณะนี้การระบาดอยู่ในขาขึ้นในทวีปเอเชีย สิงคโปร์มีประชากรน้อยกว่าเรา 10 เท่า ยังมีผู้ป่วยมากกว่าหมื่นห้า ญี่ปุ่นขึ้นไปเกือบแสน เกาหลีก็เช่นเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบ มากกว่าเราทั้งนั้น
จะเห็นว่า การเปลี่ยนสายพันธุ์แต่ละครั้งจำนวนผู้ป่วยในบ้านเราจะเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า จากระลอกแรกเป็นหลักสิบ ระลอก 2 เป็นหลักร้อย และระลอก 3 เป็นหลักพัน ระลอก 4 เจอสายพันธุ์เดลตาเป็นหลักหมื่น ครั้งนี้เป็นระลอก 5 สายพันธุ์โอมิครอน ไม่แน่ใจว่าจะขึ้นเป็นหลักแสนหรือเปล่า ไม่อยากเห็นตัวเลขขึ้นแบบนั้นเลย
เมื่อวานผมเข้าร่วมบรรยาย Webinar กับอินโดนีเซีย และตอนเย็น บรรยายกลุ่มโรคเด็กกับอียิปต์ ในเรื่องของ covid-19 เราคงต้องยอมรับความจริง โรคนี้ในเอเชียจะต้องขึ้นถึงจุดสูงสุดแล้วจึงค่อยลงมาอีก จะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ในยุโรปและอเมริกาอยู่ขาลงแล้ว
มีโทรศัพท์เข้ามา โดยเฉพาะมีผู้ป่วยใหม่ขอคำปรึกษาจำนวนมาก แสดงให้เห็นจำนวนผู้ป่วยเป็นจำนวนมากและส่วนใหญ่เป็นการติดในครอบครัว และจะติดทั้งครอบครัว
จำนวนผู้ติดเชื้อในบ้านเราอยู่ในขาขึ้น ยอดสูงสุดจะเป็นเท่าไหร่ อาจจะถึง 3-5 หมื่น หรือมากกว่าก็ได้ ขณะนี้ที่เห็นชัด ก็คือว่า ถ้าเรารวมผู้ป่วยตรวจยืนยัน RT PCR กับ ATK ก็น่าจะเกิน 25,000 แล้ว และดูอัตราการเสียชีวิต ในภาพรวมดังแสดงในรูป จะอยู่ที่น้อยกว่า 2 ใน 1,000 ถ้าเอาผู้ที่มีอาการน้อยและตรวจพบ ATK มารวมด้วยอัตราการเสียชีวิตก็จะอยู่ที่น้อยกว่า 1 ใน 1,000
เมื่อมีจำนวนผู้ป่วยมากขนาดนี้ และมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ทุกคนจะต้องช่วยกัน ก็คือ ลดการติดต่อโรคให้ได้มากที่สุด ผู้ที่ตรวจ ATK เป็นบวก แล้วไม่มีอาการ ให้แยกตัวกักตัวเองเลย อาจไม่จำเป็นที่ต้องไปตรวจยืนยันเลย ให้ปฏิบัติตัวเหมือนผู้ติดเชื้อแล้วไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย ค่าตรวจจะมีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น คงขึ้นอยู่กับอาการมากกว่า สมมติว่า ถ้าเราติดเชื้อรวมทั้ง ATK เกินกว่า 50,000 ราย และต้องตรวจ RT PCR หมด รวมทั้งมีการตรวจกรองกลุ่มเสี่ยงอีก ซึ่งขณะนี้เราตรวจกันวันละประมาณ 50,000 คน และถ้าต้องตรวจเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 คน ค่าตรวจคนละ 1,000 บาท เราจะต้องใช้เงินค่าตรวจวันละ 100 ล้านบาท
ผู้ที่มีอาการ ก็จะต้องแยกแยะว่ามีอาการมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีอาการน้อยและสามารถแยกตัวที่บ้านได้ก็ควรอยู่บ้าน เพราะขณะนี้ทราบดีแล้วว่าส่วนใหญ่มีอาการน้อย ถ้าร่างกายแข็งแรงดี หรือมีอายุน้อย นอกจากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับยืนยันอย่างรวดเร็ว และเข้ารับการรักษา สภาพอย่างในปัจจุบันนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนเมื่อตรวจพบเชื้อแล้วจะต้องอยู่โรงพยาบาล
จากข้อมูลดังกล่าวของ “หมอยง” ทำให้ต้องกลับมาตระหนัก และ “ตื่นตัว” อย่างรัดกุมกันมากกว่าเดิมอีกครั้ง เพราะแม้ว่าที่ผ่านมา ถือว่าคนไทยส่วนใหญ่ยัง “การ์ดไม่ตก” แต่เมื่อมันเชื้อตัว “กลายพันธุ์” ที่แพร่พันธุ์ติดเชื้อได้ง่ายกว่ากว่าเชื้อ “เดลตา” ถึง 3 เท่า หรือมากกว่านั้น มันก็เป็นไปได้ที่ยอดผู้ติดเชื้ออาจจะทะลุขึ้นไปถึงวันละแสนราย และยังบอกด้วยว่า เวลานี้ประเทศในทวีปเอเชียกำลังอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” มียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงลิ่ว โดยประเทศไทยยอดล่าสุดเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา มียอดผู้ติดเชื้อเกือบถึงหมื่นเก้าพันคนเข้าไปแล้ว และมียอดผู้เสียชีวิต 30 ราย
และนี่คือ “ข่าวร้าย” ที่ไม่อยากได้ยิน เพราะมันจะทำให้เกิดการ “ท้อ” เพราะนี่คือการ “ระบาดรอบ 5” จนทนทานแทบไม่ไหวแล้ว เพราะการยืดเยื้อกับโรคระบาดมานานถึงสองสามปีแบบนี้ ไม่ว่าใครก็อยู่ได้ลำบาก แม้ว่าจากข้อมูลที่บอกว่าสายพันธุ์โอมิครอนที่ว่านี้จะทำให้การป่วยไม่ถึงขั้นรุนแรง แต่เมื่อยังเป็นเชื้อโควิด มันก็ยังมีอัตราเสี่ยงอยู่ดี และจากตัวเลขรายงานออกมาก็ยังมีผู้เสียชีวิตเกินกว่ายี่สิบคน ล่าสุด วันที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาก็สูงถึงสามสิบราย
ดังนั้น นาทีนี้แม้ว่าจะเป็นข่าวร้ายแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่คนไทยทุกคนต้องทำต่อไปก็คือต้องระมัดระวังตัวเองขั้นสูงสุด “การ์ดไม่ตก” กันต่อไป เพราะคราวนี้หากมีการติดเชื้อก็มีความเสี่ยงที่จะ “ติดกันทั้งครอบครัว” มีผลกระทบตามมามากมาย ขณะที่ทั้งรัฐบาลและชาวบ้านเมื่อมาถึงตอนนี้เชื่อว่า ถึงไม่ “ถังแตก” ก็ใกล้เต็มที เพราะมันยืดเยื้อยาวนานในแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่เมื่อชีวิตต้องเดินต่อก็ต้องยืนหยัด ปรับตัวรับสภาพกันให้ได้ !!