ข่าวปนคน คนปนข่าว
**จากไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร ถึงศัตรูของศัตรูคือมิตร ดอกที่เอาคืน ธรรมนัส ฟัดเด็กนายกฯ
การเมืองวันนี้เรียกว่าเปิดหน้าท้าชกกันเลยก็ว่าได้ หลังจากศึกเลือกตั้งซ่อมหลักสี่ จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของพรรคพลังประชารัฐ ชนิดน่าอับอายขายขี้หน้าของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ผ่านเลยไปถึง “พี่น้อง 3 ป.” น้องตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แบบว่า ปิ๊บขาดตลาด ไปทั่วกรุง
แน่นอนว่า ในความปราชัยของ พปชร. คอการเมืองตั้งแต่เด็กไปยันชรา ต่างมีความเห็นไปในทางเดียวกัน นี่คือ ช่วงเวลาแห่งความเสื่อมถอยของลุงๆ ขณะเดียวกัน ก็เป็นช่วงเวลาที่จะด้อยค่า เอาคืนศัตรูถล่มให้จมพสุธาของฝ่ายแค้นที่เหมาะสมยิ่ง ถือเป็นสัจธรรมของการเมืองที่ว่า ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร
นั่นจึงเป็นที่มาของการตีความระหว่างบรรทัด เมื่อ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตเลขาธิการพรรค พปชร. ผู้ที่ถูกปลดพ้นตำแหน่งรัฐมนตรี และถูกขับออกจากพรรค โพสต์ลงในเฟซบุ๊ก หลังจากรู้ผลนับคะแนนที่ฝ่ายเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ในทำนองแสดงความเห็นยินดีที่ประชาชนออกมาเลือกตั้งตามวิถีประชาธิปไตย พร้อมกับวลีภาษาอังกฤษให้คิด “ ... ผมดีใจมากครับที่เห็นพี่น้องประชาชนออกมาใช้สิทธิใช้เสียงเลือกตั้ง นี่คือ “ประชาธิปไตย” ครับ the enemy of my enemy is my friend”
ใครคือศัตรู ธรรมนัส และ ธรรมนัสเป็นศัตรูของใคร แทบไม่ต้องคาดเดา หรือหากจะเอาคำตอบกันจริงๆ จังๆ งานนี้ก็ต้องไปถาม “ลุงตู่ -ลุงป้อม” กันเอง
แต่ที่แน่ๆ จากไม่มีมิตรแท้ ในพรรค พปชร. ที่เขายังผูกใจเจ็บที่ถูกตราหน้าเป็นตัวต้นเหตุนำทัพแพ้เลือกตั้งภาคใต้ โดนบรรดา “รมต.สายลุงตู่” เหยียบย่ำซ้ำเติมตอนนี้น่าจะกลายเป็นศัตรูถาวรไปแล้ว ดังนั้น เมื่อมีโอกาสก็ต้องฟาดกันคืน
ข้างฝ่ายสมาชิก พปชร. เมื่อคนเคยอยู่บ้านเดียวกันวกกลับมาขว้างก้อนหินใส่หลังคาบ้าน แถมถ่มถุยน้ำลายเย้ยหยัน ย่อมไม่อยู่เฉย มีข่าวสะพัดว่า “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” รัฐมนตรีว่าการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อมส.ส. กทม. เขต 9 และกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ วิเคราะห์เหตุที่แพ้ยับของพรรคว่า เป็นเพราะเกมของ “ธรรมนัส” ที่ต้องการขยี้ พปชร.ให้เละ ให้พรรคขับออก เพื่อหวังกลับไปอยู่ “เพื่อไทย” แล้วยังตั้งคำถามว่า “คนที่คุม” ธรรมนัส ปล่อยให้ทำแบบนี้ได้ยังไง?
แม้ว่า ต่อมา “ชัยวุฒิ” จะปัดว่า ไม่ได้วิเคราะห์ตามที่เป็นข่าว แถมช่วงนี้อยู่ระหว่างกักตัวจากโควิด แต่ข่าวก็ลอยไปไกลแล้ว
ขณะที่ “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง เลขาธิการพรรคคนใหม่ แต่หน้าเดิม ผู้ซึ่งเป็น รมต.อีกคนที่ใกล้ชิด “ลุงตู่” ออกมา ไม่พยายามให้ราคากับ “ธรรมนัส” โดยมาเหนือๆ ว่า พรรคไม่คิดว่าใครคือศัตรู ขอเรียนรู้ความพ่ายแพ้ และลงพื้นที่ทำงานให้ประชาชนต่อ หวังจะเข้าไปนั่งในใจคนมากกว่าจะมาชวนทะเลาะ
ทว่า เรื่องนี้ “ไผ่ ลิกค์” ส.ส.กำแพงเพชร กลุ่มที่ถูกขับออกจากพรรคพลังประชารัฐ พร้อม ร.อ.ธรรมนัส โพสต์ข้อความ ตอบโต้ “ชัยวุฒิ” ในเวลาต่อมา ระบุว่า เห็นข่าวแล้วเกิดความไม่สบายใจหลายอย่าง มันเป็นการกล่าวพาดพิงกันเกินไปหน่อย โดยก่อนจากฟาดชัยวุฒิกลับว่า..“อยากถามความหมายของคำพูด “คนที่คุม ร.อ.ธรรมมนัส ปล่อยให้ทำแบบนี้ได้อย่างไร” พี่หมายถึงใครครับ ใช่คนเดียวกับที่เสนอพี่มาเป็นรัฐมนตรี หรือเปล่าครับ”
ดูเหมือนเรื่องนี้จะเป็นหนังบู๊ที่ต้องห้ำหั่น หักหาญกันให้ตายกันไปข้างแล้ว และยิ่งสะท้อนความไม่ลงรอยระหว่าง สายลุงสองลุง ระหว่าง “พี่ป้อม” กับ “น้องตู่” ได้ชัดเจน...ที่ว่าเรารักกันดีนั้น..ไม่รู้วันนี้จะเปลี่ยนเป็น รักในรอยแค้น อ๊ะป่าว!.
**“ลุงตู่” จะอยู่ต่ออย่างไร เมื่อประชาชนลงโทษผ่านเลือกตั้งซ่อม ขนาดคนกันเองยังร่วมกระทุ้ง การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กรุงเทพฯ เขต 9 หลักสี่ จตุจักร เมื่อ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา จะว่าเป็นไปตามคาดหมาย หรือพลิกความคาดหมายก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่จะมองในมุมใด
หากว่าเป็นไปตามความคาดหมาย ก็คือ ชัยชนะตกเป็นของ “สุรชาติ เทียนทอง” พรรคเพื่อไทย ที่เคยเป็น ส.ส.ในพื้นที่นี้มาก่อน แล้วมาแพ้ “สิระ เจนจาคะ” ในการเลือกตั้งเมื่อปี 62 เพียงไม่กี่พันคะแนน เลือกตั้งครั้งนี้สามารถกลับมาทวงเก้าอี้คืนได้ ด้วยคะแนน 29,416 คะแนน
ที่พลิกความคาดหมายคือ “มาดามหลี” สรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ภรรยาของ “สิระ เจนจาคะ” จากพรรคพลังประชารัฐ พรรคใหญ่แกนนำรัฐบาล แพ้หลุดลุ่ย มาเป็นที่ 4 ได้เพียง 7,906 คะแนน
ขณะที่ผู้สมัครของพรรคก้าวไกล “กรุณพล เทียนสุวรรณ” เข้าที่ 2 ได้ 20,361 คะแนน และยังให้บทเรียนกับ “3 ป.” ด้วยการเอาชนะในหน่วยเลือกตั้งในค่ายทหาร เรื่องนี้ “ก้าวไกล” เก็บไปคุยได้อีกนาน ... ส่วน “อรรถวิชช์ สุวรณภักดี” พรรคกล้า ของ “กรณ์ จาติกวณิช” เข้าที่ 3 ได้ 20,047 คะแนน
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นหลังรู้ผลเลือกตั้ง ออกมาในทำนองว่า คนกรุงเทพฯ ได้ให้บทเรียนแก่พรรคพลังประชารัฐ และ “พี่น้อง 3 ป.” ผ่านการลงคะแนน ว่าไม่พอใจกับความ “กร่าง” ของ “สิระ” ในช่วงที่เป็น ส.ส. และเมื่อตัวเองถูกตัดสินให้สิ้นสภาพส.ส. ยังพยายามผลักดันให้ “เมีย” เข้ามารับช่วงต่อและพรรคก็เห็นดีเห็นงามด้วย คนกรุงเขาไม่เอาการเมืองแบบนี้...ที่สำคัญคือเป็นสัญญาณบอกว่าคนกรุงเทพฯ ไม่เอา “ลุงตู่” แล้วเหมือนกัน
เพราะในระหว่างหาเสียงนั้น มีการแบ่งข้างชัดเจนว่า พรรคไหนสนับสนุนลุงตู่ พรรคไหนไม่เอาลุงตู่ แล้วพรรคที่ไม่เอาลุงตู่ เข้าที่ 1 ที่ 2 กวาดไปเกือบ 5 หมื่นคะแนน ส่วนพรรคของลุงตู่เอง เข้าที่ 4 ได้ไม่ถึงหมื่นคะแนน
...เป็นธรรมดาที่ผู้แพ้ก็ไม่อยากออกมาเจอหน้าผู้คน ไม่อยากเจอนักข่าว ...“ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นั้นอยู่ระหว่างการกักตัวตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด หลังกลับจากเยือนซาอุฯ ก็อยู่บ้าน ... ส่วน “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. กบดานอยู่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ไม่โผล่มาทำเนียบฯ
ถึงกระนั้น “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ก็ออกมาแสดงความเห็น ช่วยตอบโต้แทนว่า การที่มีคนบอกว่าคะแนนนิยมของ “ลุงตู่” ลดลงนั้น ไม่น่าจะใช่ เพราะการเลือกตั้งซ่อม ไม่เหมือนการเลือกตั้งใหญ่ และไม่เกี่ยวกับว่าพรรคไหนชูลุงตู่ หรือไม่เอาลุงตู่ เพราะถึงอย่างไร ลุงตู่ ก็เป็นนายกฯอยู่แล้ว ผลการเลือกตั้งซ่อม ไม่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงนายกฯได้ ฉะนั้น การที่บอกว่าคะแนนนิยมนายกฯ ตกลงนั้น ไม่จริง ...
ขณะที่ผู้ชนะ “หมอชลน่าน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็พา “สุรชาติ เทียนทอง” ขึ้นรถแห่ออกตระเวนขอบคุณประชาชน
โอกาสนี้ “หมอชลน่าน” บอกว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ประชาชนได้แสดงออกว่า ต้องการมีชีวิตที่มีความหวัง มีอนาคตที่ดีให้กับลูกหลาน จึงเลือกฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ขณะเดียวกัน ก็เป็นการบอกถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาด้วย
“หมอชลน่าน” ฝากบอกไปถึง “ลุงป้อม” ว่า ผลการเลือกตั้งสะท้อนว่าประชาชนไม่สนับสนุนพรรคการเมืองที่ไม่มีแนวทางประชาธิปไตย การเลือกตั้งครั้งนี้ ถือเป็นเพียงจุดเล็กๆ เท่านั้น หากพรรคพลังประชารัฐ ไม่ปรับตัว ยังคงดื้อดึงต่อไปก็อาจจะกลายเป็นพรรคที่มี ส.ส.ต่ำกว่า 50 คน ในอนาคตได้
นอกจากนี้ ก็ขอฝากไปถึง “ลุงตู่” ด้วยว่า เมื่อไม่สามารถนำพาประเทศชาติออกจากวิกฤต แล้วประชาชนส่งสัญญาณมาอย่างนี้ ทางที่ดีที่สุด คือ คืนอำนาจให้ประชาชน ...ยุบสภาไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่คือการคืนอำนาจให้ประชาชน... อย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่อำนาจ อย่าเห็นแก่ประโยชน์ของพวกพ้อง ไม่ต้องอาย... ยุบสภาจะเป็นการลงจากอำนาจที่สวยที่สุด!!
ขณะที่ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี ตีความผลการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า... สิ่งที่ต้องตระหนักนั่นคือ พรรคการเมืองที่สนับสนุนรัฐบาล ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนน้อยมาก ...
ดังนั้น สิ่งที่นายกฯต้องตระหนัก ก็คือ ท่าทีต่อพรรคพลังประชารัฐ ที่ได้รับการลงโทษจากประชาชน อย่างหนักกว่าที่คาดคิด รวมทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนด้วย
นี่ขนาด “หมอวรงค์” ที่ถือว่าเป็นฝ่ายอนุรักษนิยม ยืนข้างเดียวกับ “พี่น้อง 3 ป.” ช่วงหาเสียงก็สนับสนุน “ลุงตู่” เป็นนายกฯ ยังออกปากว่าต้องปรับปรุง
แล้วอย่างนี้ เส้นทางการเมืองในอนาคตของ “ลุงตู่” จะเป็นเช่นไรหนอ