เมืองไทย 360 องศา
เรียกว่าอาการหนักกว่าที่คาด สำหรับพรรคพลังประชารัฐ หลังจากทราบผลการเลือกตั้งซ่อม ในเขต 9 กรุงเทพมหานคร หลักสี่-จตุจักร ที่ผู้สมัครของพรรค คือ นางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ภรรยาของ นายสิระ เจนจาคะ พ่ายแพ้การเลือกตั้งแบบหมดรูป ได้คะแนนไม่ถึง 8 พันคะแนน หรือได้คะแนนไม่ถึงหมื่น ซึ่งผลการเลือกตั้งที่ออกมาแบบนี้เรียกว่า “เสียหายมาก” เนื่องจากชัดเจนแล้วว่าประชาชนได้ “สั่งสอน” อย่างเจ็บแสบที่สุด
เพราะผลที่ออกมานอกเหนือจากจากจำนวนคะแนนที่น้อยจนผิดคาดไปมากแล้ว เป็นการสะท้อนภาพออกมาให้เห็นโดยตรง ยังมีอีกจำนวนมากอีกเกือบ 30 เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่ออกมาใช้สิทธิ เมื่อเทียบเคียงกับการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 62 ที่ตอนนั้นมีคนในเขต 9 กรุงเทพฯ ออกมาใช้สิทธิกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่การเลือกตั้งซ่อมคราวนี้ ออกมาแค่ 52 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แม้ว่าในรายละเอียดจะมีอีกหลายอย่าง เช่น ตอนนั้นเลือกเพราะกระแส “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องการให้เป็นนายกฯ มันผิดกันกับการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ก็ตาม
แต่หากโฟกัสเฉพาะพรรคพลังประชารัฐกับการได้คะแนนเสียงไม่ถึง 8 พันคะแนน มันย่อมส่งผลสะเทือนอย่างรุนแรงตามมาค่อนข้างแน่ เพราะงานนี้ชัดเจนว่าประชาชนต้องการ “สั่งสอน” แบบ “ตบหน้าหงาย” ไปเลย เป็นการให้บทเรียนกับพรรคที่ถูกมองว่า “ไม่ใส่ใจต่อความรู้สึกของประชาชน” ซึ่งเป็นการสั่งสอนมาอย่างต่อเนื่องจากผลการเลือกตั้งซ่อมสามครั้งติดต่อกัน ที่พรรคพลังประชารัฐ “แพ้รวด” ตั้งแต่ที่เขต 6 สงขลา และเขต 1 ชุมพร ที่พ่ายแพ้ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ และต่อเนื่องมาจนถึงการเลือกตั้งซ่อมที่ เขต 9 กรุงเทพมหานคร ที่ถือว่าชัดเจนที่สุด
แน่นอนว่า ความ “แตกแยก” แย่งชิงอำนาจภายในพรรคพลังประชารัฐ เป็นภาพความตอกย้ำความ “เบื่อหน่ายรำคาญ” กับชาวบ้าน นอกเหนือจากก่อนหน้าที่อุดมไปด้วย “กลุ่มก๊วน” นักการเมืองที่มีภาพลักษณ์ “สีเทา สีดำ” เต็มพรรค ประกอบกับกระแสความเบื่อหน่าย “สามป.” ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พุ่งสูงขึ้น หลังจากกุมอำนาจมานาน จนย่างเข้าปีที่ 8 แล้ว
อย่างไรก็ดี กระแสความเสื่อมศรัทธาที่ถือว่า “ลงเร็ว” มากในช่วงหลังๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ และเกี่ยวพันไปถึง “ภาพลักษณ์” ของส.ส.และรัฐมนตรีของพรรคหลายคน ขณะเดียวกันผสมโรงไปด้วย “แฟนคลับลุงตู่” ที่ผิดหวังกับท่าทีและความเคลื่อนไหวภายในพรรคภายใต้การจัดการของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคที่ยัง “อุ้มผู้กองแป้ง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ในช่วงแรกหลังจากที่ถูก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปลดพ้นจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ท่ามกล่าวรายงานข่าว “กบฎเคลื่อนไหวโหวตล้ม” และเชื่อมโยงกับข่าว “ดีลลับ” กับนายทักษิณ ชินวัตร
แต่กลายเป็นว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยังอุ้มให้อยู่ในตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐต่อไป จนกระทั่งพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อมที่ภาคใต้ ที่ตอนนั้นก็ไม่มีการเอ่ยชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บนเวทีหาเสียงให้ได้ยิน มีแต่เน้นการชูบทบาทของ ร.อ.ธรรมนัส เป็นหลัก ซึ่งเหมือนกับเป็นการท้าทาย หรือเทียบบารมีกับ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างชัดเจน ซึ่งไม่ต่างจากก่อนหน้าที่ที่มีการเคลื่อนไหวแบบท้าทายมาตลอด แต่เมื่อผลการเลือกตั้งซ่อมที่ภาคใต้ออกมาทำให้เกิดแรงปะทุความขัดแย้งภายในพรรคเกิดขึ้น และนำไปสู่การแยกตัวออกมาไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย ด้วยวิธีการที่พิลึกกึกกือ นั่นคือ มีการขอให้พรรคมีมติขับออกไป เพื่อจะได้คงสถานะเป็น ส.ส.ต่อไป ซึ่งงานนี้ว่ากันว่า “บิ๊กป้อม” จัดให้ เพราะมีรายงานว่าพรรคเศรษฐกิจไทยดังกล่าวเป็นพรรค “สำรอง” ของ พล.อ.ประวิตร ที่มีการดำเนินการเอาไว้ และคนที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรค ก็คือ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ “ลูกน้องคนสนิท” นั่นเอง
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมสร้างความกังขา และระคนไม่พอใจของกลุ่มที่สนับสนุน “ลุงตู่” เพราะด้วยวิธีการแบบนี้มีพรรคการเมืองแบบนี้จึงมีลักษณะไม่ต่างจาก “หอกข้างแคร่” ซึ่งหลายคนที่เป็นคอการเมืองมองว่ากรณีหลังสุดนี้แหละที่ทำให้ทุกอย่าง “ขาดผึง” นำไปสู่การ “สั่งสอน” สะท้อนผ่านผลการเลือกตั้งซ่อมที่ เขต 9 กรุงเทพฯ อย่างที่เห็น
และคราวนี้ก็เช่นเดียวกันเริ่มมีแรงกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคพลังประชารัฐอีกครั้ง และคราวนี้มีการพุ่งตรงไปที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคโดยตรง มาพร้อมกับกระแสกดดันให้ “ลาออก” ก็มี ซึ่งตลอดทั้งวันที่ผ่านมาเขาก็ “กบดาน” อยู่ที่สำนักงานมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ไม่ออกมาแสดงความเห็นใดๆ หลังจากทราบผลการเลือกตั้งซ่อมดังกล่าว
ขณะที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะ ผอ.การเลือกตั้งซ่อมเขต 9 จตุจักร-หลักสี่ พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยกับ Top news หลังทราบผลคะแนนว่า นางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ พ่ายแพ้หมดรูปว่า ได้ประเมินไว้แต่ไม่คิดว่าจะแพ้เยอะขนาดนี้ จึงมองว่ากระแสคนกรุงเทพฯ คนรุ่นใหม่สนใจการเมืองการใช้โซเชียลฯ ในแบบของพรรคก้าวไกล และพรรคกล้า ที่เป็นคนรุ่นใหม่ รวมถึงมีพรรคใหม่ เช่น พรรคไทยภักดี ที่มีแนวทางเดียวกันมาตัดคะแนนกันเองด้วย โดยยอมรับว่ากระแสสังคมคนเบื่อการเมือง ความขัดแย้งในพรรค ราคาของแพงต่างๆ หลายอย่างรวมกันที่ทำให้คนน่าจะอยากเปลี่ยน แต่ถือว่าต้องถอดบทเรียน
พร้อมกันนี้ เขายังตอบโต้ นายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.ขอนแก่น ออกมาระบุว่า จากการพ่ายแพ้เลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดชุมพร และสงขลา กลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พร้อม ส.ส.รวม 21 คน ได้แสดงความรับผิดชอบ ให้พรรคขับออกแล้ว ซึ่งผลเลือกตั้งหลักสี่ออกมาว่าแพ้เหมือนกัน คนที่รับผิดชอบเขตหลักสี่ ที่หมายถึงนายชัยวุฒิ จะต้องรับผิดชอบด้วยหรือไม่นั้น นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน เป็นแค่ข้ออ้างมากกว่า เพราะการขับออกจากพรรคไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลเลือกตั้งซ่อม ซึ่งการขอให้ขับออกจากพรรคของกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส นั้น เพื่อต้องการต่อรองตำแหน่งกับนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับผลเลือกตั้งแต่อย่างใด ซึ่งกลุ่มนี้ ตั้งใจจะออกไปตั้งพรรคใหม่อยู่แล้ว
นายชัยวุฒิ มองอนาคตการเมืองของพรรคพลังประชารัฐ ว่า ทุกอย่างต้องมีการปรับเปลี่ยน ปรับตัว เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ไม่ขอตอบว่าจะยังไปต่อกันไหวหรือไม่
ส่วนปัจจัยที่เป็นตัวแปรอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองนั้น น่าจะมีเรื่องเดียวคือการต่อรองเสียงในสภาของกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส เรื่องอื่นยังไม่มี ซึ่ง “เป็นเกมที่ ร.อ.ธรรมนัส ต้องการขยี้พลังประชารัฐให้เละ แล้วกลับไปอยู่เพื่อไทย ซึ่งพยายามขยี้มา 2 ปีแล้ว และส่วนตัวก็ไม่เข้าใจว่าคนที่คุม ร.อ.ธรรมนัส ปล่อยให้ทำแบบนี้ได้อย่างไร”
เมื่อฟังจากปากของ นายชัยวุฒิ แบบนี้ ก็ย่อมคาดหมายได้ว่าอีกไม่นานจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคพลังประชารัฐอีกรอบ ที่สำคัญ งานนี้มีการกระทุ้งไปที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยตรง ทำนองให้ “เลิกอุ้ม” ร.อ.ธรรมนัส ได้แล้ว ประกอบกับท่าทีล่าสุดของ ร.อ.ธรรมนัส ที่โพสต์ หลังจากทราบผลเลือกตั้งซ่อมว่า “ศัตรูของศัตรูคือมิตร” ซึ่งมีการตีความหมายไปไกลทั้งกับพรรคเพื่อไทย และ นายทักษิณ ชินวัตร ทำให้หลายคนในพรรคพลังประชารัฐ ไม่พอใจ
เอาเป็นว่าพิจารณาจากสภาพเท่าที่เห็น ก็ไม่ต้องคาดเดาอะไรให้มากความ เชื่อว่า อีกไม่นานจะต้องมีการ “ปรับใหญ่” มีการจัดแถวกันให้ชัด ส่วนจะออกมาแบบไหนนั้น ยังเดาไม่ออก แต่ต้องเปลี่ยนแน่ เพราะหากยังอยู่กันแบบเดิมก็เตรียมรับการ “ล่มสลาย” ในเร็ววัน !!