เมืองไทย 360 องศา
หากพิจารณาจากการที่ศาลอาญาสั่งเพิกถอนประกันตัว น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” แกนนำกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ใช้สัญลักษณ์สามนิ้วเป็นรายล่าสุด เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน จากคดีหมายเลขดำ อ.287/2564 จากการกระทำผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวของศาล กรณีดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ร่วมกันชุมนุมคดีปักหมุดสนามหลวง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2563 ถือว่า “แกนนำหลัก” พวกนี้ได้ถูกคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวและต้องถูกคุมขังในเรือนจำครบถ้วนแล้ว
โดยในคำสั่งศาลระบุว่า ข้อเท็จจริงในทางไต่สวนได้ความว่า หลังจากจำเลยที่ 5 (น.ส.ปนัสยา) ได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จำเลยที่ 5 มีพฤติการณ์โพสต์เชิญชวนให้ประชาชนไปร่วมชุมนุม และได้ขึ้นกล่าวปราศรัยในที่ชุมนุม รวมทั้งโพสต์รูปตนเองแต่งกายชุดดำ พร้อมเชิญชวนให้ประชาชนแต่งกายเช่นเดียวกัน ในวันที่ 28 ก.ค. 64 ซึ่งเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นการผิดเงื่อนไขคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณา จึงให้เพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ซึ่งมีจำเลยอีกหลายคนในคดีเดียวกันไม่ถูกเพิกถอนการประกันตัว และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว แต่ก็ถูกควบคุมการเคลื่อนไหวและมีเงื่อนไขที่เข้มข้นกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้ บรรดาแกนนำที่ใช้สัญลักษณ์ “สามนิ้ว” หลายคนได้ทยอยถูกเพิกถอนการประกันตัวกันไปแล้วหลายคน ไม่ว่าจะเป็น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” ซึ่งถูกฟ้องในคดีเดียวกันเป็นจำเลยที่ 1 ได้ถูกเพิกถอนการประกันตัวไปก่อนหน้าแล้ว นายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข รวมไปถึง น.ส.เบนจา อะปัญ และ หากรวมถึง น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” เป็นรายล่าสุดก็ถือว่า “ครบถ้วน” แบบเรียบวุธ อะไรประมาณนั้น
ทั้งนี้ การเพิกถอนการประกันตัวดังกล่าวจะเป็นลักษณะหลากหลายคดี บางคนถูกคัดค้านการประกันตัว จากหมายจับหลายคดีจนจำกันแทบไม่ไหวว่ามีคดีอะไรกันบ้าง เพราะทั้งหมดหรือแทบทั้งหมด นอกเหนือจากคดีอื่นๆ ที่ติดตัวมากมายแล้ว ยังมีคดีหลักที่เรียกว่ากระทบต่อความมั่นคง และกระทบต่อจิตใจของคนไทยส่วนใหญ่ที่เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ นั่นคือ คดีที่พวกเขากระทำผิดตาม มาตรา 112 ที่ถือว่าเป็นเรื่องหลักในการเคลื่อนไหวของพวกเขาตลอด 1-2 ปีที่ผ่านมา
เพราะหากพิจารณาจากสาเหตุการเพิกถอนประกันตัวของพวกเขา ล้วนมาจากการเคลื่อนไหวในลักษณะที่เรียกว่า “หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์” และที่ผ่านมาไม่นาน ศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งมีการวินิจฉัยออกมาแล้วว่า มีเจตนา “ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์” ไม่ใช่การปฏิรูปตามที่กล่าวอ้าง โดยศาลฯระบุว่า เป็นลักษณะเคลื่อนไหวที่เป็นขบวนการ เป็นเครือข่าย และสั่งให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าวในทันที
ที่ผ่านมา แม้ว่าศาลจะเคยอนุญาตให้แกนนำม็อบสามนิ้วดังกล่าวได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างถูกดำเนินคดี แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขายังไม่หยุดเคลื่อนไหวยังกระทำความผิดในลักษณะเดิม หรือยังเคลื่อนไหวจนถูกดำเนินคดีและถูกฟ้องเป็นจำเลยในลักษณะเดิม เป็นการกระทำที่ซ้ำๆ ต่อเนื่อง โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย โดยเฉพาะคดีที่เป็นลักษณะความผิดตามมาตรา 112 ที่เกี่ยวกับการดูหมิ่น หมิ่นประมาท พระมหากษัตริย์ และสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยแต่ละคนสะสมคดีไม่ต่ำกว่ายี่สิบคดี บางคน เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ มีคดีติดตัวเกือบร้อยคดี ส่วนคนอื่นๆ ก็ลดหลั่นกันลงมา
โดยความผิดตาม มาตรา 112 ถือว่ามีโทษหนัก เพราะเป็นความผิดเกี่ยวกับพระประมุข ที่มีกฎหมายคุ้มครองว่าจะ “ละเมิดไม่ได้” โดยโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี ถือว่ามีอัตราโทษสูง และกระทบต่อจิตใจและความรู้สึกของคนอื่น
ดังนั้น หากพิจารณาถึงแนวโน้มที่พวกเขาจะได้รับการอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในอนาคต หากมีการยื่นคำร้องในครั้งต่อไปหรือไม่นั้น ที่ผ่านมา ก็มีการยื่นคำร้องมาแล้วหลายครั้ง แต่ศาลก็ไม่อนุญาต โดยระบุว่ายังไม่มีเหตุผลให้ต้องทบทวนคำสั่งเดิม และยกคำร้องทุกครั้ง ทำให้มีการประเมินกันว่า หากถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดี ที่แต่ละคนมีคดีติดตัวยาวเป็นหางว่าวแบบนี้ต้องใช้เวลาอีกนานกี่เดือนกี่ปีกันแน่ ถึงจะได้รับอิสรภาพกันอีกครั้ง
และไม่กี่วันที่ผ่านมา แกนนำบางคน เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” กับพวกยังถูกสั่งขังในคดีที่เกี่ยวกับการ “ละเมิดอำนาจศาล” เป็นเวลาอีก 20 วัน แต่ศาลลดโทษเหลือ 10 วัน ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า พวกเขาไม่เกรงกลัวกฎหมาย กระทำในสิ่งที่จำเลย หรือคนทั่วไปไม่เคยทำ หรือไม่กล้าทำมาก่อน จนทำให้ต้องมาประเมินกันว่า พฤติกรรมที่แสดงออกมาแบบนั้น ท้าทายแบบนั้นเป็นเพราะ “ความคึกคะนอง” อยากสร้าง “ปมเด่น” หรือความไม่รู้ ยังมั่นใจว่าการต่อสู้ของพวกเขานั้นจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ อย่างนั้นหรือ หรือเป็นเพราะถูกชักจูงจากบางกลุ่ม มีการป้อนข้อมูลความเชื่อบางอย่างเข้าไปหรือเปล่า
อย่างไรก็ดี เมื่อมองสถานการณ์ในเวลานี้ กลับกลายเป็นว่าบรรยากาศการชุมนุมกลับดู “ฝ่อ” ลงไปแบบถนัดใจ มวลชนเริ่มถอยห่าง ที่ผ่านมา มีแต่เรื่องราวทางด้านลบประดังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มีทั้งความขัดแย้ง ชิงดีชิงเด่น การทุจริตสารพัด มีการเปิดโปงกันเอง ขณะที่บรรดาคนที่ถูกมองว่าเป็นคนชักใย ยุยง กลับไม่กล้าออกมานำมวลชนด้วยตัวเอง ทำให้ไม่ต้องแปลกใจว่าการชุมนุมในเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่เรียกชื่อว่าอะไรก็ตามแทบจะไม่ได้รับความสนใจ มีมวลชนแทบจะหลักร้อยเท่านั้น
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งอาจเป็นเรื่องที่มองเห็นได้ชัดเจนเช่นกันว่า หลังจากที่บรรดาแกนนำหลักของกลุ่มสามนิ้ว ต่างถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำกันแบบ “เรียบวุธ” ก็ทำให้ทุกอย่าง “เงียบกริบ” ความวุ่นวายจากการชุมนุมก็ลดลงจนแทบปกติ ส่วนการเคลื่อนไหวในลักษณะ “ปล่อยเพื่อนเรา” ตามตารางเวลาจนถึงเวลานี้บรรยากาศก็ซบเซาไม่คึกคักเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว !!