เมืองไทย 360 องศา
แน่นอนว่า การยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่นำเสนอโดยกลุ่มรีโซลูชันอะไรนั่น จะถูกตีตกไปตามความคาดหมายตั้งแต่ต้นไปแล้วก็ตาม หรือที่เรียกให้จดจำง่ายว่าเป็น “ฉบับไอติม” เนื่องจากมีภาพการเคลื่อนไหวจาก นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ “ไอติม” มากเป็นพิเศษ
แต่ขณะเดียวกัน กลายเป็นว่า ความหมายของร่างแก้ไขดังกล่าวเป็นร่างฉบับ “ไอติม” ในแบบของเด็กๆ ที่ไม่อาจเป็นจริง หรือมีความเป็นไปได้เลย เพราะเนื้อหา “สุดโต่ง” และไปไกลมาก ไกลมากกว่า “ฉบับไอลอว์” ที่ถูกตีตกก่อนหน้านี้เสียอีก
ทำให้หลายคนมองเห็นตรงกันตั้งแต่แรกแล้วว่า มีเจตนา “ซ่อนเร้น” แฝงเข้ามาด้วย เพราะการเสนอแบบสุดโต่ง อีกทั้งด้วยเงื่อนไขของการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องพึ่งพาเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม หรือไม่น้อยกว่า แปดสิบกว่าเสียง มันถึงเป็นไปไม่ได้เลย กับการเสนอให้ “ยุบ ส.ว.” ทิ้งไป ให้เหลือเพียงแค่สภาผู้แทนราษฎร เพียงสภาเดียว และให้มีอำนาจครอบจักรวาล ใหญ่โตมโหฬารมาก เอาเป็นว่าเป็นการเสนอแบบ “จงใจไม่ให้ผ่าน” นั่นแหละ
โดยมีเป้าหมายเพื่อ “สร้างเงื่อนไข” ในทางการเมืองของพรรคการเมืองบางพรรค และเฉพาะกลุ่มของตัวเอง และแน่นอนว่า การเสนอเข้ามาแบบนี้ พิจารณาจากบทบาทการเคลื่อนไหว และการผลักดัน ย่อมมาจากกลุ่มอาจารย์ และกลุ่มพรรคการเมืองที่หากโฟกัสให้ชัดเจน ก็ต้องรับรู้กันว่าเป็นพรรคก้าวไกล และกลุ่มก้าวหน้า ที่มี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่เป็นเครือข่ายเดียวกัน ในเรื่องที่มีทัศนคติที่เป็นลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
และหากเชื่อมโยงเป็นวงจรก็ต้องพูดถึงกลุ่ม “ม็อบสามนิ้ว” ก่อนหน้านี้อีกด้วย เพราะไม่ว่าจะมีการยอมรับหรือไม่ แต่สังคมมองออกว่าเป็นเครือข่ายเดียวกัน มีการสนับสนุนให้กำลังใจ มีการช่วยเหลือในเรื่องทุนรอนการเคลื่อนไหว และช่วยเหลือในทางคดี ซึ่งนั่นคือภาพที่ปรากฏออกมาก่อนหน้านี้ และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมากจากก่อนหน้านี้มาจนถึงปัจจุบัน ที่ต้องเรียกว่า “ฝ่อ” ลงไปมาก จนแทบจะเรียกว่าสถานการณ์ม็อบสามนิ้ว “ไปไม่ไหวแล้ว” หากยังมีเป้าหมายเรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์” นอกเหนือจากลักษณะการเคลื่อนไหวของบรรดาแกนนำเด็กๆ ที่ถือว่าไร้ประสบการณ์และขาดความน่าเชื่อถือของสังคมในวงกว้าง จนทำให้เวลานี้มีมวลชนเข้าร่วมแค่หลักร้อยเท่านั้น และตลอดเวลามีแต่ข่าวในทางลบ มีความแตกแยก มีการเปิดโปง และบางม็อบก็มีแต่ความรุนแรง สร้างความรำคาญให้กับชาวบ้าน จนมองไม่ออกว่าเป็นม็อบที่เคลื่อนไหวมีเป้าหมายทางการเมืองแต่อย่างใด
ที่สำคัญ บรรดาแกนนำต่างถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาหนักคนละหลายข้อหา โดยเฉพาะความผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
อีกทั้งล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งมีคำวินิจฉัยออกแล้วว่า การเคลื่อนไหวของม็อบดังกล่าวมีการกระทำเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย เป็นขบวนการ มีเจตนาล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสั่งให้หยุดการกระทำดังกล่าวในทันที มันก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า บรรดาแกนนำม็อบพวกนี้เสี่ยงที่จะ “ติดคุกถาวร” มีสูงยิ่ง เพราะอย่างที่รู้กันว่า พวกแกนนำมีคดี “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” จาบจ้วงสถาบันฯ แต่ละคนมีไม่น้อยกว่ายี่สิบคดี บางคนมีถึงเกือบร้อยคดี
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากแกนนำหลักที่พอมีชื่อ ก็มี นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” ที่มีคดีไม่น้อยกว่าแปดสิบคดี นายอานนท์ นำภา มีไม่น้อยกว่ายี่สิบคดี นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์” น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” รวมถึง นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” ก็มีคดีไม่ได้แตกต่างกัน
และที่สำคัญ พวกเขาแทบทั้งหมดล้วนถูกเพิกถอนการประกันตัว หรือสั่งห้ามการประกันตัว เนื่องจากกระทำความผิดซ้ำ ยังเคลื่อนไหวในลักษณะเดิมที่เคยถูกฟ้องดำเนินคดี จนเป็นเหตุให้มีคดีเพิ่มพอกเป็นหางหมู และนำไปสู่การถอนประกัน ต้องถูกควบคุมตัวระหว่างการพิจารณาคดีนั่นแหละ
เมื่อมองจากแนวโน้มแล้ว คนพวกนี้แทบไม่มีโอกาสออกมาสู่โลกภายนอกอย่างอิสระ เพราะตลอดชีวิตจะต้องวิ่งขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่ตลอดเวลา และต้องไม่ลืมว่าเวลานี้คดีต่างๆ ล้วนทยอยเข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาลแล้ว หรือไม่ก็อยู่ในชั้นอัยการที่กำลังทยอยพิจารณาสั่งฟ้อง ก็ต้องลุ้นทุกนาที
แต่ที่น่าสนใจก็คือ “กระแสม็อบที่ฝ่อลง” ต่างหากที่ทำให้เวลานี้ความสนใจของสังคมเริ่มลดลงไปเรื่อยๆ การเคลื่อนไหวของคนพวกนี้แทบจะไม่ค่อยได้รับความสนใจมากเหมือนกับก่อนหน้านี้
เมื่อวกกลับมาที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ “สุดโต่ง” ที่เพิ่งถูกตีตก และจากการเจตนาให้ตีตกจากกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังการผลักดันในครั้งนี้ หากโฟกัสไปที่พรรคก้าวไกล ที่เชื่อมโยงไปถึงกลุ่มก้าวหน้า ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล แล้วมันก็เหมือนกับว่า พวกเขากำลังหันเหเป้าหมายใหม่ ที่ “รองรับการเลือกตั้ง” ในครั้งหน้า เพื่อหวังสร้างฐานมวลชนเฉพาะกลุ่ม ซึ่งอย่างน้อยหวังว่า เสียงที่ลงชื่อสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวที่มีกว่า 1.35 แสนเสียง
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากตัวเลขประชาชนที่ลงชื่อสนับสนุนอาจจะใช่ แต่หากพิจารณาตามความเป็นจริงยังเชื่อว่าไม่ใช่เป็นฐานสนับสนุนทั้งหมด เพราะในช่วงลงชื่อ อาจจะด้วยเหตุผลไม่ชอบรัฐบาล ไม่ชอบ “สาม ป.” และที่สำคัญก็คงไม่นึกว่าร่างแก้ไขจะออกมาแบบที่เห็นนั่น คือ “ไปไกล” เกินคาด นอกเหนือจากนี้ในจำนวนนั้นยังเป็นมวลชนของพรรคเพื่อไทยอีกจำนวนไม่น้อย
แต่ถึงอย่างไรสำหรับพรรคก้าวไกลแล้วทำให้เห็นถึงแนวโน้มการเคลื่อนไหวในระยะต่อไป ที่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยเป้าหมายน่าจะเล็งมาที่จำนวนเสียงที่ลงชื่อสนับสนุนในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ฝันหวานว่ามีกว่าแสนเสียง สำหรับตุนไว้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะหลังจากถูกตีตกในสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ประกาศทันทีว่า พรรคจะนำเนื้อหาในร่างแก้ไขนี้ ไปใช้สำหรับรณรงค์หาเสียง ซึ่งไม่ต่างกับคำพูดของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่กล่าวทำนองเดียวกัน
ดังนั้น หากมองจากแนวโน้มที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วสำหรับพรรคก้าวไกล ที่นาทีนี้แทบจะไม่มีที่ยืน หลังจากที่ม็อบสามนิ้วเริ่มฝ่อลงจากการเล่นแรง มีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ แกนนำถูกดำเนินคดีถูกคุมขังในคุก และสังคมกำลังลืมเลือนไม่ให้ความสำคัญเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ขณะเดียวกัน การที่พรรคก้าวไกลหันเหแนวทางมายึดมวลชนที่สนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาเป็นของตัวเอง อาจจะไม่แน่นอน เพราะรับรองว่าต้องกระจายไปหลายพรรค ไม่แน่นอนสูงยิ่ง
เพราะหากเทียบกับพรรคเพื่อไทยที่ถึงอย่างไรยังมีจุดแข็งในฐานมวลชน แม้ว่าจะเจือจางลงไปไม่น้อย แต่อย่างน้อยยังมีลุ้นเรื่อง “บัตรเลือกตั้งสองใบ” กับจำนวน ส.ส.เขต เป็นหลักประกันเอาไว้ชั้นหนึ่งแล้ว !!