เมืองไทย 360 องศา
สำหรับแกนนำกลุ่มม็อบที่ใช้สัญลักษณ์ “ชูสามนิ้ว” ที่กำลังถูกฟ้อง ถูกดำเนินคดีในเวลานี้คงจะเริ่มหวาดผวาแบบอกสั่นขวัญแขวนกันเป็นแน่แท้ เพราะกำลังเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญในทางคดี นั่นคือ นอกเหนือจากการทยอยถูกฟ้องร้องเป็นจำเลยในชั้นศาลแบบต่อเนื่อง และบางคดีก็กำลังมีการตัดสิน หรือใกล้สรุปเข้ามาเรื่อยๆ แล้ว
แน่นอนว่า บรรยากาศในศาลมันย่อมไม่สนุกคึกคะนองเหมือนกับการขึ้นเวทีปราศรัยต่อหน้ามวลชนผู้สนับสนุนนับพันนับหมื่น เพราะตอนนั้นพูดอะไรไปก็มีแต่คนปรบมือเป่าปากดังสนั่น
ยิ่งบรรยากาศในช่วงที่มีมวลชนมาร่วมเป็นจำนวนมากมันก็ยิ่งทำให้แกนนำบนเวทียิ่งฮึกเหิมปล่อยอารมณ์จน “หลุด” ออกมาอย่างเต็มที่จนเกินลิมิต และยิ่งแกนนำกลุ่มม็อบสามนิ้วที่ส่วนใหญ่เป็นเยาวชน เป็นนักศึกษา ยังอยู่ในวัยคึกคะนอง ขาดประสบการณ์ในการดำเนินชีวิต มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะทุกคำพูดมันมีผลผูกมัดกับตัวเอง โดยเฉพาะคดีอาญาที่ต้องติดตัวไปตลอด
แม้ว่าที่ผ่านมา มีเสียงตำหนิอย่างรุนแรงกับบุคคล และกลุ่มบุคคลที่ “ยุยง” หรือป้อนข้อมูลที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริง ซึ่งมีทั้งกลุ่มการเมือง อาจารย์ และอดีตอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ที่ส่วนใหญ่ล้วนไม่กล้า “ออกหน้า” เพราะกลัวถูกดำเนินคดี กลัวเข้าคุก หรือไม่ผลกระทบต่ออาชีพ จึงปลุกเร้าให้บรรดาเยาวชน นักศึกษาพวกนั้นออกมาแทน
และก็เป็นไปตามคาดหมาย พวกที่เป็นแกนนำ รวมไปถึงคนที่ถูก “อุปโลกน์” ให้เป็นแกนนำ จะถูกดำเนินคดีอาญาและอย่างว่าก็คือ พวกเขาส่วนใหญ่เป็นเยาวชน หรือเพิ่งผ่านช่วงอายุที่ระบุว่าบรรลุนิติภาวะเพียงไม่นานก็ยิ่งขาดความรอบคอบ มีแต่ความ “เร่าร้อนจากตำราเรียน” มันก็ยิ่งถลำลึกลงไปเรื่อยๆ
แน่นอนว่า การชุมนุมที่ผ่านมา หรือที่กำลังเกิดขึ้น มันเกี่ยวข้องกับผลทางกฎหมาย ย่อมไม่เหมือนกับกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยที่พออะลุ้มอะล่วยกันได้ และยิ่งการเคลื่อนไหวกระทบไปถึง “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่คนไทยส่วนใหญ่ยังให้การเคารพเทิดทูน มันก็กลายเป็นเรื่องน่ากังวล ขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะมีการเคลื่อนไหวในเรื่องใดก็ตาม มันก็ย่อมมีบรรยากาศหรือทำให้เกิดอารมณ์ร่วมเสียก่อน รวมไปถึงต้องมี “เงื่อนไข” ทางสังคมอีกด้วย
สังเกตหรือไม่ว่า ที่ผ่านมา การชุมนุมของกลุ่ม “ม็อบสามนิ้ว” ที่มีเป้าหมายมุ่งกระทบกับพระมหากษัตริย์ และสถาบันพระมหากษัตริย์โดยรวม ล้วนแล้วแต่ใช้คำพูดรุนแรง จาบจ้วงตรงๆแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และยังกระทำซ้ำๆ แบบเดิมในแบบไม่เกรงกลัวกฎหมาย หรือที่เรียกว่า “ท้าทายกฎหมาย” ก็ว่าได้ และยังรวมไปถึงการแสดงคำพูด และใช้กิริยาท้าทายอำนาจศาล หลายครั้งที่จำเลยพวกนี้ใช้คำพูด “ดูหมิ่นศาล” ถึงในห้องพิจารณาคดีก็เคยเกิดขึ้นหลายครั้งจนศาลสั่งจำคุก ฐานละเมิดอำนาจศาลมาแล้วหลายคน
ทั้งนี้ หากพิจารณาจากรายชื่อบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็นแกนนำม็อบสามนิ้ว เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” นายอานนท์ นำภา คนนี้แม้ว่าอายุจะเลยเยาวชน แต่มีความรู้ด้านกฎหมาย เพราะมีอาชีพเป็นทนายความ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์” นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” เป็นต้น คนพวกนี้ล้วนถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมด้วยข้อหาความผิดตาม มาตรา 112 คนละนับสิบคดี บางราย อย่างเช่น นายพริษฐ์ นายอานนท์ และ น.ส.ปนัสยา มีเกือบห้าสิบคดี ซึ่งมีอัตราโทษสูง
ที่ผ่านมา พวกเขามีการกระทำผิดซ้ำๆ ในลักษณะเดิม จนกระทั่งศาลเพิกถอนคำสั่งประกันตัว รวมไปถึงสั่งห้ามประกันตัว หลังจากที่ปล่อยตัวชั่วคราวออกมาแล้วก็ยังละเมิด ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะลักษณะพฤติกรรมแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรือว่าเป็นเพราะพวกเขา “มีความมั่นใจบางอย่าง” หรือมั่นใจว่า “มีแบ็กดี” หรือเปล่า หรือไม่ก็ได้รับข้อมูลจนมีความเชื่อมั่นผิดไปจากความเป็นจริงหรือไม่ เพราะหากพิจารณาจากเงื่อนไข จนเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบ “ปฏิวัติฝรั่งเศส” ในเวลานี้มันก็ไม่น่าเป็นไปได้ จนแทบไม่เข้าใกล้ความจริงเลย
ในทางตรงกันข้าม ยิ่งเวลาล่วงเลยไปมีแต่เรื่องอื้อฉาว เกิดการเปิดโปงแฉโพยกันในหมู่พวกเดียวกันออกมาให้เห็นเรื่อยๆ ซึ่งไม่ว่ามองในมุมไหนก็ยังมองไม่ออกว่าเป้าหมายที่เคลื่อนไหวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเรื่องประชาชนส่วนใหญ่ ประชาชนที่ “เสียภาษี” ยังไม่เอาด้วย สังเกตจากจำนวนมวลชน หรือกระแสที่เกิดขึ้นจริงล้วนไปอีกทาง
อย่างไรก็ดี ล่าสุด ก็ได้มาถึงจุดสำคัญที่จะมีผลต่ออนาคต และอิสรภาพของพวกเขากันแล้ว หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในคดีที่ นายณัฐพร โตประยูร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำของ นายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง ชุมนุมปราศรัย10 สิงหาคม 2563 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต เพื่อเสนอข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ในการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่
โดยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การกระทำและพฤติกรรมต่อเนื่องของผู้ถูกร้อง 1-3 มีเจตนาซ่อนเร้น เซาะ กร่อนบ่อนทำลาย เป็นการใช้สิทธิ เสรีภาพ มุ่งล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 1-3 และเครือข่ายเลิกการกระทำดังกล่าว
แม้ว่าในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีดังกล่าวยังไม่มีผลในเรื่องของการถูกจำคุกในทันที แต่มันจะเป็นบรรทัดฐานในคดีอาญาที่พวกเขาถูกดำเนินดคี ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่กำลังทยอยเข้าสู่ศาลอาญานับสิบคดี ล้วนเป็นความผิดตาม มาตรา 112 ที่มีอัตราโทษจำคุก ตั้งแต่ 3-15 ปี เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ยังมีผลผูกพันกับทุกองค์กรอีกด้วย
ดังนั้น ถือว่าผลสรุปในวันนี้ เป็นเรื่องที่น่า “สยดสยอง” สำหรับบรรดาแกนนำม็อบสามนิ้วที่ว่านี้ รวมไปถึงคนอื่นๆ อีกหลายคน เพราะถือว่าได้มองเห็นอนาคตที่ชัดเจนแล้วว่า ผลจะออกมาเช่นไร แต่อย่างไรก็ตามผลในวันนี้เป็นแค่เริ่มต้นเท่านั้น !!