เตือนแล้วไม่ฟัง! “อ.สุวินัย” ชี้เปรี้ยง ขบวนการล้มล้างฯจบแล้ว ที่เหลือตัวใครตัวมัน “ณฐพร” อ้างมีหลักฐานเด็ดยุบพรรคหนุนหลัง ส่งไม้อัยการฯลุยอาญา 3 แกนนำต่อ “ปิยบุตร” คลั่ง ขู่ปิดประตูปฏิรูปฯ สู่ “สงครามกลางเมือง” ?
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (10 พ.ย. 64) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก “Suvinai Pornavalai” หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำของ 3 แกนนำม็อบราษฎร ในการชุมนุมปราศรัยเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 นั้น มีเจตนาเข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯ โดยระบุว่า
“มันจบแล้วนาย ...ที่เหลือคือตัวใครตัวมัน
นี่คือ จุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การกวาดล้าง “ขบวนการล้มล้างการปกครอง” ของทางการโดยชอบธรรมตามกฎหมาย
ผมทั้งเตือน ทั้งห้ามแล้ว ตั้งแต่ก่อนชุมนุมที่ มธ.วันที่ 10 สิงหาคม ปี 2020 ที่ประกาศ “ล้มล้างการปกครอง” โดยเปิดเผย แต่ก็ดื้อรั้นไม่ยอมฟังกันเลย”
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “ณฐพร” เผย มีหลักฐานเด็ดยุบพรรคหนุนหลัง อัยการลุยฟ้อง 3 แกนนำต่อ
เนื้อหาระบุว่า วันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย กรณีการปราศรัยของ 3 แกนนำ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ล้มล้างการปกครองหรือไม่
ทั้งนี้ ตุลาศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยช่วงหนึ่งว่า การกระทำของ 3 ผู้ถูกร้อง คือ “นายอานนท์ นำภา รุ้ง น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และ ไมค์ ภาณุพงศ์ จานอก” เป็นการกระทำอันเข้าข่ายนำไปสู่ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มิใช่การปฏิรูป และได้สั่งการให้ผู้ถูกร้อง 1-3 กลุ่มองค์กรที่จะดำเนินการต่อไปเลิกดำเนินการด้วย
นอกจากนี้ ตุลาศาลรัฐธรรมนูญ ยังมีการวินิจฉัยว่า การกระทำที่ผ่านมา เข้าข่ายล้มล้างฯ ผลของคดี คือ ศาลรัฐธรรมนูญสั่งเลิกการกระทำ และผลนี้จะผูกพันทุกองค์กร
คือ ทั้ง 3 คนจะกระทำแบบที่เคยทำไม่ได้อีก ผลสะเทือนที่จะตามมา คือ จะถูกแจ้งดำเนินคดีอาญาต่อ หรือ อัยการขยับสั่งให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดี
ล่าสุด นายณฐพร โตประยูร ผู้ร้องในคดีดังกล่าว ได้เปิดเผยกับทีมข่าวเดอะทรูธ ถึงขั้นตอนต่อไปว่า จากนี้เป็นหน้าที่ของอัยการ เพราะเรื่องราวคดีดังกล่าวอยู่ที่สำนักงานอัยการแล้ว สามารถดำเนินคดีอาญาต่อไปได้เลย
“อัยการก็สืบสวนตรวจสอบต่อไปว่า ใครอยู่เบื้องหลัง เป็นตัวการ เพราะผู้ถูกร้องทั้ง 3 คน แค่หน้าฉากที่ออกมา และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว เมื่อตัวหลักใหญ่ผิด เครือข่าย ทั้งขบวนการก็ผิดด้วย ไม่ใช่ 3 คน เครือข่ายที่เคลื่อนไหวอยู่ ต้องถูกดำเนินคดีอาญา
ส.ส. นักการเมือง ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้ผมมีหลักฐานอยู่ในมือ ทั้งหลักฐานการโอนเงิน ที่วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินก็เพราะผมมีหลักฐานเด็ด และยืนยันว่า ยังมีหลักฐานเด็ดที่จะเอาผิดพรรคการเมืองที่สนับสนุนด้วย โดยตนได้เคยไปยื่นร้องไว้ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว เพื่อเอาผิดพรรคการเมือง ตามมาตรา 45 และมาตรา 92 ซึ่งทาง กกต.ก็จะขอสำนวน คำตัดสินวันนี้จากศาลรัฐธรรมนูญได้ภายใน 15 วัน เพื่อนำมาดำเนินการต่อไป” นายณฐพร กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายณฐพร ยังกล่าวกับทีมข่าวเดอะทรูธ อีกว่า ในเรื่องคดีอาญาในส่วนของ 3 แกนนำ คือ อานนท์ ไมค์ และ รุ้ง นั้น ทางประชาชนเองก็สามารถเดินทางไปร้องทุกข์กล่าวโทษที่สถานีตำรวจได้เช่นกัน สามารถดำเนินควบคู่ไปกับทางอัยการได้ด้วย
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน THE TRUTH โพสต์ประเด็น “ปิยบุตร” ประกาศลั่น ปากกาผู้พิพากษา จะนำพาไปสู่ “สงครามกลางเมือง”?
ทั้งนี้ จากกรณี ปิยบุตร โพสต์เฟซบุ๊ก วิเคราะห์แนวทางตัดสินของศาลฯ พร้อมชี้ประเด็นเอาไว้ ว่า ถ้าตัดสินล้มล้างการปกครองจะเกิดอะไรตามมา ที่น่าสนใจคือ ข้อความในช่วงท้ายโพสต์ที่ระบุว่า
...ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่า ข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ถูกวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อย “ช้างที่อยู่ในห้อง” ที่เราแกล้งมองไม่เห็นมันมาหลายทศวรรษ ถูกเปิดเผยหมดแล้ว และมีเยาวรุ่นและประชาชนจำนวนมากมองสถาบันกษัตริย์ไม่เหมือนคนรุ่นก่อน ไม่เหมือนเดิมที่เคยเป็นมา
การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์จะเกิดขึ้นได้ในสังคมไทยหรือไม่?
การรณรงค์เข้าชื่อเสนอกฎหมายยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือการรณรงค์เข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในหมวด 2 จะดำเนินได้ต่อไปหรือไม่?
ทั้งหมดนี้อยู่ใน “กำมือ” ของศาลรัฐธรรมนูญ
หากประตู “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” ถูกปิดลง ก็เท่ากับว่า การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เพื่อให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยที่ยังรักษาสถาบันกษัตริย์เอาไว้ ให้กษัตริย์เป็นประมุขของรัฐอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ หรือ constitutional monarchy ก็ถูกปิดลงไปด้วย
หากเป็นเช่นนี้ สังคมไทยก็จะเดินมาสู่ทางเลือกเพียงสองทางที่หลงเหลืออยู่
หนึ่ง อยู่กันไปแบบนี้ กับระบอบการปกครองแบบที่เป็นอยู่ที่มีลักษณะโน้มเอียงไปทางสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลงมากขึ้นนับแต่ คสช.ก่อรัฐประหาร
หรือ สอง ระบอบอื่น
คงเป็นเรื่องยอกย้อนชวนหัวในทางประวัติศาสตร์ที่สุด ถ้าการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบในประเทศไทย ไม่ได้เกิดจากการเรียกร้อง “ข้อ 3 ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” ของ “ราษฎร” แบบที่หวาดระแวงกัน
แต่มันกลับเกิดจากการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ !!!
อาจารย์สถิต ไพเราะ อดีตรองประธานศาลฎีกา เคยเขียนเรื่องเล่าชื่อว่า “ปากกาอยู่ที่มัน” เพื่อชี้ให้เห็นว่า ผลแห่งคดีต่างๆ ขึ้นกับการขีดเขียนของผู้พิพากษา
.
Roger Brooke Taney ประธานศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกา เขียนคำพิพากษาจนพาประเทศสหรัฐอเมริกาไปสู่สงครามกลางเมือง
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ อยู่ที่ อ.สุวินัย ชี้เปรี้ยงทันทีทันควันว่า ขบวนการล้มล้างการปกครองฯ จบแล้ว ที่เหลือคือ จุดเริ่มของการกวาดล้างของทางการ ซึ่งก็คือ ตัวใครตัวมัน
ขณะเดียวกัน ในทางคดี ก็จะถูกขยายผลไปสู่การเอาผิดกับกลุ่มคนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนและส่งเสริม อยู่เบื้องหลัง โดยยึดตามพยานหลักฐานเป็นสำคัญ รวมทั้ง 3 แกนนำ ที่ถูกร้อง ก็จะถูกเอาผิดทางอาญาด้วย
แต่ฝ่าย “ปิยบุตร” ไม่เชื่อว่าจะจบลงแค่นี้ เพราะเชื่อว่า การปิดประตู “ปฏิรูปสถาบันฯ” ก็เท่ากับ นำไปสู่ การไม่มีทางเลือกเหลืออยู่มากนัก ในทำนอง ความขัดแย้งจะนำไปสู่สงครามกลางเมือง และเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในที่สุด
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงนับว่าน่าจับตามอง ว่าแง่มุมวิเคราะห์ของใครจะแน่กว่ากัน หรือแค่คำขู่ปลุกปลอบฝ่ายเดียวกันเท่านั้น?
.