ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ยอมรับกังวลผลวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ส่งผลขยายวิกฤตการเมือง พร้อมขอศาลยุติคำวินิจฉัยไว้ก่อน เพื่อให้มีกระบวนการไต่สวนที่เป็นธรรม
วันนี้ (10 พ.ย.) นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ ว่า เป็นการวินิจฉัยตามคำร้องว่าการประกาศ 10 ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบัน เป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 มีการยื่นคำร้องตั้งแต่กลางปี 2563 และฝ่ายผู้ถูกร้องได้ยื่นคำโต้แย้งแก้ข้อกล่าวหาแล้ว โดยยืนยันว่า คำปราศรัยของ 3 แกนนำที่ถูกร้อง เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตและต้องการปฏิรูปสถาบันฯให้ดียิ่งขึ้น และเพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์มีความมั่นคงในระบบประชาธิปไตย
แต่หลังจากการยื่นข้อโต้แย้งแล้ว ไม่ได้มีการไต่สวนคู่ความในคดี ซึ่งได้มีการนัดวินิจฉัยชี้ขาดคดีในวันนี้ โดยไม่ได้ฟังความเห็นของผู้ถูกร้อง ขณะเดียวกัน ได้ยื่นคำร้องขอเบิกตัว นายอานนท์ นำภา และ นายภาณุพงศ์ จาดนอก ที่อยู่ระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำ ให้ได้ออกมาร่วมฟังการพิจารณาคดีและชี้แจงข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็ยื่นเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุติการวินิจฉัยไว้ก่อน เพื่อให้เกิดกระบวนการไต่สวน หวังให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ถูกร้อง
นายกฤษฎางค์ ยังกล่าวว่า คดีนี้มีการดำเนินคดีอาญาอยู่ในกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว จึงไม่แน่ใจว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในคดีนี้ จะทำได้หรือไม่ โดยเฉพาะผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นประโยชน์หรือไม่กับผู้ถูกร้อง แต่อาจเกิดความเสื่อมเสียส่งผลกระทบต่อคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรม เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันธ์กับทุกองค์กร จึงรู้สึกกังวลใจ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
และหากผลคำวินิจฉัยออกมาว่าเป็นการล้มล้างการปกครองจริง ก็อาจเป็นการซ้ำเติมวิกฤตการเมืองในขณะนี้ ซึ่งไม่ใช่การหาทางออกกับวิกฤตที่เกิดขึ้น โดยอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ส่วนผลคำวินิจฉัย จะเป็นบรรทัดฐานต่อการชุมนุมปราศรัยในอนาคตหรือไม่นั้นก็อยู่ที่มุมมองทางกฎหมายของแต่ละคน และต้องดูว่าคำวินิจฉัยที่ออกมาเป็นธรรมมากน้อยเพียงไร เพราะหลังจากนี้หากมีข้อเรียกร้องเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบัน แล้วมีความผิด ประเทศก็คงไม่มีทางออก