xs
xsm
sm
md
lg

“สามนิ้ว” ไม่หยุดล้มเจ้า คุกเร็ว-ชัวร์ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล - พริษฐ์ ชิวารักษ์ - อานนท์ นำภา
เมืองไทย 360 องศา

ก็ตามความคาดหมาย หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติการเคลื่อนไหวของแกนนำม็อบที่ใช้สัญลักษณ์ “ชูสามนิ้ว” และมีข้อเรียกร้องจำนวน 10 ข้อ ในการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พวกเขาก็ยังเคลื่อนไหว และแสดงท่าทีไม่ยอมรับศาล รวมทั้งคำตัดสินของศาล แต่นั่นก็คงไม่มีความหมาย เพราะนับจากนี้ไปพวกเขามีความเสี่ยงที่จะถูก “บังคับเข้าคุก” ชัดเจน และเร็วขึ้น

อย่างไรก็ดี ต้องทบทวนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน โดยสรุปว่า การกระทำของ นายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง ที่ชุมนุมปราศรัยวันที่ 10 ส.ค. 63 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ซึ่งมีการเสนอข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ในการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งเครือข่าย เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จึงมีคำสั่งให้เลิกการกระทำ

ผลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ สรุปสาระสำคัญได้ว่า ประเด็นที่ต้องพิจารณาวินิจฉัยว่า การกระทําของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่

ข้อเท็จจริงตามคําร้อง คําชี้แจง พยานหลักฐานต่างๆ รวมทั้งบันทึกเสียงการปราศรัยของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฟังเป็นยุติว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อภิปรายในที่สาธารณะหลายครั้งหลายสถานที่ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2563 เรียกร้องให้ดำเนินการแก้ไขเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อภิปรายเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยข้อเรียกร้องรวม 10 ประการ

พิจารณาแล้วเห็นว่า พระมหากษัตริย์กับชาติไทย ดํารงอยู่คู่กันเป็นเนื้อเดียวกันนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน และจะต้องดํารงอยู่ด้วยกันต่อไปในอนาคต เพื่อธำรงความเป็นชาติไทยไว้ ปวงชนชาวไทยจึงถวายความเคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ การกระทําของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นการเซาะกร่อน บ่อนทําลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การออกมาเรียกร้องโจมตี ในที่สาธารณะโดยอ้างการใช้สิทธิและเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญ นอกจากเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง ใช้ถ้อยคําหยาบคาย และยังไปละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของประชาชนอื่นที่เห็นต่างด้วย อันจะเป็นกรณีตัวอย่างให้บุคคลอื่นกระทําตาม

ยิ่งกว่านั้น การกระทําของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มีการดำเนินงานอย่างเป็นขบวนการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย แม้การปราศรัยของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ณ เวทีธรรมศาสตร์จะไม่ทน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จะผ่านไปแล้ว ภายหลังจากที่ผู้ร้องยื่นคําร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ยังปรากฏว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ยังคงร่วมชุมนุมกับกลุ่มบุคคลกลุ่มต่างๆ โดยใช้ยุทธวิธีเปลี่ยนแปลงรูปแบบการชุมนุม วิธีการชุมนุม เปลี่ยนตัวบุคคลผู้ปราศรัย ใช้กลยุทธ์เป็นแบบไม่มีแกนนําที่ชัดเจน แต่มีรูปแบบการกระทําอย่างต่อเนื่องโดยกลุ่มคนที่มีแนวคิดเดียวกัน การเคลื่อนไหวของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 3 และกลุ่มเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง มีลักษณะเป็นขบวนการเดียวกันที่มีเจตนาเดียวกันตั้งแต่แรก ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มีพฤติการณ์กระทําซ้ำและกระทําต่อไปอย่างต่อเนื่อง

โดยมีการกระทํากันเป็นขบวนการ ซึ่งมีลักษณะของการปลุกระดมและใช้ข้อมูลที่เป็นเท็จ แต่มีลักษณะของการที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย และใช้ความรุนแรงในสังคม ทําให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติ อันเป็นการทําลายหลักความเสมอภาคและภราดรภาพ นําไปสู่การล้มล้างระบอบประชาธิปไตยในที่สุด ทั้งเป็นการกระทําที่มีเจตนาเพื่อทําลาย หรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องสิ้นสลาย ไม่ว่าจะโดยการพูด การเขียน หรือการกระทําต่างๆ เพื่อให้เกิดผลเป็นการบ่อนทําลาย ด้อยคุณค่า หรือทําให้อ่อนแอลง ย่อมแสดงให้เห็นถึงการมีเจตนาเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย

แม้เหตุการณ์ตามคําร้องผ่านพ้นไปแล้ว แต่หากยังคงให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 รวมทั้งกลุ่มในลักษณะองค์กรเครือข่ายกระทําการดังกล่าวต่อไป ย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะนําไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสั่งการให้เลิกการกระทําดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตได้

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก วินิจฉัยว่า การกระทําของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง และมีมติเป็นเอกฉันท์ สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 รวมทั้งกลุ่มองค์กรเครือข่าย เลิกกระทําการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง

ก็ต้องถือว่าเป็นคำวินิจฉัยที่ “ตรงกับความรู้สึก” ของคนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของคนพวกนี้ ว่านี่คือ “ขบวนการล้มเจ้า” ที่มาในหลากหลายรูปแบบ หลายวิธีการแต่เป้าหมายก็คือ มีเจตนา “ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์” นั่นเอง เป็นคำวินิจฉัยที่ชัดเจน และตบท้ายด้วยการสั่งให้ “หยุดพฤติกรรม” แบบนี้ทันที

อย่างไรก็ดี ในเวลานี้มีแกนนำม็อบสามนิ้วดังกล่าวถูกดำเนินคดีในความผิดตาม มาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับการดูหมิ่น จาบจ้วงพระมหากษัตริย์ และสถาบันฯ คนละนับสิบคดี และส่วนใหญ่ถูกศาลอาญาสั่งเพิกถอนประกันตัว บางคนถูกห้ามประกันตัวจากการถูกดำเนินคดีในบางคดี มีเพียง น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” ที่ถูกร้องในคดีนี้ กำลังอยู่ในขั้นตอนการไต่สวนคำร้องให้เพิกถอนการประกันตัว ซึ่งเลื่อนมาพิจารณาในปลายเดือนนี้ ขณะที่แกนนำคนอื่น เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” ถูกเพิกถอนประกันตัว นายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก ไม่ได้รับการประกันตัว เป็นต้น เนื่องจากศาลเห็นว่า เป็นคดีมีความผิดที่มีอัตราโทษสูง และเกรงจะหลบหนี อีกทั้งยังมีพฤติกรรมที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย มีการกระทำความผิดซ้ำๆ

แต่หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาแล้ว ว่า การเคลื่อนไหวของบรรดาแกนนำม็อบสามนิ้วที่ว่านี้มีพฤติกรรมที่มีเจตนา “ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์” และมีการเคลื่อนไหวกันเป็น “ขบวนการ” มันก็ยิ่งชัดเจนและส่งผลต่อการพิจารณาคดีอาญาตามมา จากการที่บรรดาแกนนำม็อบดังกล่าวมีคดีที่เกี่ยวกับ มาตรา 112 คนละนับสิบคดี อาจทำให้กระบวนการพิจารณามีความรวดเร็วขึ้น และจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้คิดไปล่วงหน้าได้เลยว่า “คุกแน่นอน” และ “คุกยาวๆ” อีกด้วย

ดังนั้น การที่แกนนำบางคนที่ยังมีท่าทีแบบ “ไม่ยี่หระ” หรือแสดงท่าทางไม่ยอมรับอำนาจศาลเหมือนเช่นทุกครั้ง ล่าสุด ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ก็เช่นเดียวกัน แต่หากมองอีกมุมก็อาจเป็นลักษณะ “ทำปากกล้าขาสั่น” ข้างในอาจจะหวาดกลัว แต่ต้องแสดงกลบเกลื่อนก็ได้ ขณะเดียวกัน หากดูตามบรรยากาศในเวลานี้ ถือว่าห่างไกลจากเป้าหมายของพวกม็อบกลุ่มนี้มาก ในทางตรงกันข้าม ยิ่งเคลื่อนไหวกลับยิ่งฝ่อลง และที่สำคัญ มันไม่ได้มี “เงื่อนไข” ให้พวกเขาได้ฉกฉวยได้เลย มีแต่พวกเดียวกันเองที่สร้างเงื่อนไขในด้านลบทำลายตัวเองทั้งสิ้น !!



กำลังโหลดความคิดเห็น