เมืองไทย 360 องศา
แทบจะไม่ต้องสนใจไปเลยว่าสภาฯลงมติไม่รับ หรือรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อ้างว่าเป็น “ร่างของประชาชน” จากการลงชื่อเสนอร่วมกันกว่า 1.3 แสนคน รวมไปถึงอ้างว่าเป็นการร่วมกันผลักดันเสนอโดย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ที่มีชื่อเล่นว่า “ไอติม” จึงเรียกว่า เป็น “ฉบับไอติม” ซึ่งในความหมาย ก็คือ เป็น “ฉบับเด็กๆ” นั่นเอง
ที่ต้องบอกว่า ไม่ต้องไปสนใจว่าจะมีเสียงโหวตของสมาชิกรัฐสภาว่าจะออกมาอย่างไร เพราะรู้ล่วงหน้าตั้งแต่ต้นแล้วว่า “ไม่มีทางผ่าน” และ “คนที่อยู่เบื้องหลัง” ของร่างแก้ไขฉบับนี้ ก็รับรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่า “ไม่ผ่านแน่นอน” เพียงแต่ว่ามีเจตนา “สร้างเงื่อนไข” ทางการเมือง เพื่อประโยชน์เฉพาะกลุ่มของตัวเอง พรรคการเมืองของตัวเอง รวมไปถึง “ม็อบของตัวเอง” ให้สามารถหล่อเลี้ยงมวลชนได้มีเงื่อนไข ได้ขับเคลื่อนกันต่อไปได้เรื่อยๆ แทนที่จะ “ฝ่อ” จนเงียบเหมือนกับที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี เพื่อบันทึกไว้เป็นข้อมูลก็ต้องบอกว่าร่างแก้ไขฉบับนี้เป็นการจัดร่าง และดำเนินการโดย กลุ่มรี-โซลูชัน ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของ 4 องค์กร คือ กลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า, กลุ่มไอลอว์ (โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน), คณะก้าวหน้า และ พรรคก้าวไกล
ดังนั้น เพียงแค่เห็นรายชื่อคณะผู้จัดทำและคณะผู้นำเสนอ ก็สามารถคาดเดาถึงเนื้อหาของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ว่านี้ และยังรวมไปถึงการคาดเดาอนาคตล่วงหน้าได้ไม่ยากว่าผลจะออกมาเช่นไร อีกทั้งยังมองข้ามช็อตได้อีกว่า “เจตนาที่แท้จริง” ของคนพวกนี้ ต้องการให้เกิดเหตุการณ์แบบไหนตามมาอีกด้วย
เพราะต้องไม่ลืมว่า หากเห็นชื่อ “ทีมงานคุณภาพ” ที่ว่านี้แล้ว มีชื่อของคณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล รวมอยู่ในทีมแล้ว ก็ย่อมมองเห็นใบหน้าของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ลอยมาแต่ไกล และแน่นอนว่า เป้าหมายของร่างแก้ไข ก็ต้องพุ่งตรงไปที่ “สถาบันพระมหากษัตริย์” รวมไปถึงการรื้อ ศาล องค์กรอิสระ ส.ว.ในลักษณะที่ต้องการ “หักด้ามพร้าด้วยเข่า”
และก็ไม่ได้ผิดไปจากที่คาดหมายเอาไว้ เพราะตลอดทั้งวัน เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่มีการอภิปรายก่อนลงมติในวาระที่หนึ่ง หรือขั้นรับหลักการ ก็มีชื่อของผู้เสนอที่มาอภิปรายหลักการและเหตุผลในการนำเสนอ นอกเหนือจาก นายพริษฐ์ วัชรสินธุ แล้ว ก็มี นายปิยบุตร แสงกนกกุล ตามคาด และยังตามมาด้วย น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว แกนนำม็อบสามนิ้ว ซึ่งก็ได้เห็นกันไปแล้วว่าเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ “เป็นไปไม่ได้” หรือหากพูดกันแบบบ้านๆ แบบไม่ต้องไว้หน้ากันก็ต้องบอกว่า “เพ้อเจ้อ”
เพราะถ้าเกิดฟ้าถล่มดินทลาย เกิดผ่านสภาฯขึ้นมาจริงๆ แทนที่จะเป็นรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย กลับกลายเป็น “เผด็จการดำมืด” โดย “สภาผู้แทนฯ” ที่จะกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจที่อยู่เหนือทุกองค์กร เหมือนกับที่มีการอภิปรายชี้ให้เห็นภาพจากสมาชิกรัฐสภาอย่างชัดเจน
สิ่งที่น่าพิจารณาก็คือ หนึ่งในสาระสำคัญของร่างแก้ไขฉบับดังกล่าว ก็คือ การให้อำนาจกับ “สภาผู้แทนฯ” ซึ่งมักจะอ้างแบบสวยหรูว่าเป็น “ตัวแทนจากประชาชน” โดยตรง ผ่านการเลือกตั้ง และอ้างว่านี่คือ ประชาธิปไตย แต่ในความเป็นจริงก็คือ “คุณภาพของตัวแทนหรือผู้แทนฯ” นั้น มันมีแค่ไหน ดังนั้น การมีสภาผู้แทนฯเพียงสภาฯเดียว และให้อำนาจในการส่งตัวแทนในลักษณะเป็น “ผู้ตรวจการ” เข้าไปตรวจสอบทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็น ศาล องค์กรอิสระ ตรวจสอบเขาไปทั่ว แต่คณะผู้ตรวจการที่ว่านั้นก็ไม่ระบุว่า “จะถูกตรวจสอบ” อย่างไรบ้าง และหากเป็นจริง ก็จะกลายเป็น ว่านี่คือการ “แทรกแซง” ไม่ใช่การตรวจสอบถ่วงดุล ตามที่เพ้อฝันอย่างแน่นอน
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงถูกเรียกแบบสุภาพว่า มีเจตนา “ล้ม-ล้าง-โละ” อะไรประมาณนั้น แต่ในความเป็นจริงก็คือมัน “ไม่มีทางเป็นไปได้” และไม่ใช่มีเป้าหมายมุ่งไปสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่เป็นเพียงความฝันเฟื่องแบบเด็กๆ ที่คิดฟุ้งซ่าน จากการอ่านตำราเรียน แล้วฝันเอาว่ามันน่าจะเป็นจริงตามนั้น
และหากพิจารณาจากจำนวนประชาชนที่ร่วมลงชื่อกว่า 1.35 แสนคน เพื่อร่วมเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ในความเป็นจริงก็คงไม่รู้ว่าจะมีการร่างออกมาแบบนี้แน่นอน เพราะในการรณรงค์ ก็คงเพียงแค่ต้องการแก้ไข หรือล้มเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ระบุว่าเป็น “มรดกเผด็จการ คสช.” เป็นการสืบทอดอำนาจของ “ระบอบประยุทธ์” อะไรนั่น คงจะเห็นดีแบบนี้สำหรับฝ่ายที่คิดว่าเป็นประชาธิปไตยเท่านั้น
แต่สำหรับความคิดของคนที่อยู่เบื้องหลัง หรือคอยผลักดัน ก็ย่อมมาจากกลุ่มการเมือง และพรรคการเมืองที่ว่านั่นแหละ และรู้กันอยู่ว่า “จงใจ” เสนอเข้ามาแบบนี้ เพราะไม่มีทางผ่านสภาอยู่แล้ว แต่หากโฟกัสไปที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล “นักปฏิวัติย้อนยุค” เมื่อร้อยปีก่อน ที่ได้โอกาสเข้ามาอภิปรายในสภาฯ ได้ใช้เวทีแห่งนี้ “ตีกระทบชิ่ง” ส่งต่อ “ความเกลียดชัง” ให้กับ “ม็อบสามนิ้ว” ได้เคลื่อนไหวกันต่อไป และที่สำคัญให้พวกเด็กๆ ในม็อบพวกนั้น “ต้องติดคุก” เพิ่มขึ้นในโอกาสต่อไป โดยที่ตัวเองและบรรดาอาจารย์หลายคนที่ยัง “แอบอยู่ข้างหลัง” ต่อไป ซึ่งสำหรับ นายปิยบุตร อาจมองว่า นี่คือความสำเร็จของพวกเขาแล้วก็เป็นได้
หากไม่ต้องพิจารณาจากตัวเลขจากการนับคะแนนเสียงโหวตของสมาชิกรัฐสภาที่ไม่รับหลักการในวาระแรกด้วย 473 ต่อ 206 เสียงจากจำนวนสมาชิกทั้งหมด 723 คน แต่ที่ต้องตั้งข้อสังเกตแบบ “พิลึกกึกกือ” ก็คือ การโหวตของสมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่กลับโหวตรับหลักการร่างแก้ไขฉบับนี้ ที่เสนอแก้ไขให้กลับไปใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว (มรดกเผด็จการ) และ ลดจำนวนส.ส.เขตลงเหลือ 350 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 150 คน จากเดิมที่สนับสนุนให้แก้ไขกลับมาแบบบัตรสองใบ และ ส.ส.เขต 400 คน บัญชีรายชื่อ 100 คน จนสำเร็จไปแล้ว และกำลังรอโปรดเกล้าฯ ลงมาเท่านั้น
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาตาม “มาตรฐานสภาผู้แทนฯ” ที่มีความฝันจะให้เป็นสภาทรงเกียรติเพียงสภาเดียวในอนาคตเป็นจริง ที่พรรคเพื่อไทย มีมติในวันนี้ถือว่าเป็นเรื่องน่าคิด เพราะนี่คือการ “หาเสียง” กับเด็กๆ แบบไม่ต้องลงทุนอีกเหมือนกัน เพราะรู้อยู่แล้วว่า “ถูกคว่ำ”อยู่แล้ว แต่ก็ขอเป็น “พระเอก” ขอเกาะ ขอหาเสียงไปกับคนพวกนี้ด้วย เหมือนกับว่า“ทำเต็มที่แล้วนะ” แต่เมื่อไม่ผ่าน ก็เสียใจด้วยอะไรประมาณนั้น
แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังไม่แน่ใจว่า บรรดาเด็กในม็อบสามนิ้วจะเทใจให้แค่ไหน หรือจะเหมือนกับก่อนหน้านี้ ที่ถูกถอนหงอกด่าหยาบๆ ว่า “สู้ไปกราบไป” หรือเปล่า แต่นาทีนี้สำหรับพรรคเพื่อไทย ในเมื่อไม่ต้องลงทุนมันก็มีแต่กำไรกับเสมอตัวเท่านั้น
ดังนั้น หากบอกว่าฝ่ายที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดจากการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ “หลุดโลก” แบบเพ้อเจ้อที่ว่านี้มากที่สุดก็เห็นจะเป็น กลุ่มก้าวหน้า พรรคก้าวไกล และอาจารย์ “อีแอบ” บางคนเท่านั้น ที่สามารถใช้เวทีสภา “ประดิษฐ์วาทกรรม” ให้พวกเด็กๆ ม็อบสามนิ้ว ได้ออกมาติดคุกพากันลงเหวกันต่อไปเท่านั้น ขณะที่พรรคเพื่อไทย ก็ห้อยโหนแบบไม่ลงทุน ไม่กำไรแต่คงไม่ขาดทุน !!