xs
xsm
sm
md
lg

คิวทอน! “เทพมนตรี” ถอดรหัส “Portrait ธนาธร” หมิ่นเหม่ “ล้มเจ้า”? ศาลชี้ “อานนท์, ไมค์, กวิ้น, รุ้ง” อันตราย กลัวหนี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ “เทพมนตรี” ถอดรหัส “Portrait ธนาธร” หมิ่นเหม่ “ล้มเจ้า”? ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
“Portrait ธนาธร” เป็นเหตุ งานนี้ “เทพมนตรี” ไม่ปล่อย แยกรายข้อชี้จุด พฤติกรรมหมิ่นเหม่สถาบัน? ศาลไม่ให้ประกัน “อานนท์, ไมค์, กวิ้น, รุ้ง” สองคดีรวด ชี้ปล่อยไปอาจก่ออันตรายได้ อีกทั้งมีคดีในศาลหลายคดี กลัวหนี

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (20 พ.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น หรือถึงคิวทอน! เทพมนตรี ถอดรหัส “Portrait ธนาธร” งานนี้ไม่น่ารอด แยกรายข้อชี้จุด พฤติกรรมหมิ่นเหม่สถาบัน?

โดยระบุว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีที่ได้เข้าแจ้งความ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ซึ่งอ้างว่า รวบรวมหลักฐานอันเป็นหลักฐานชั้นต้นของอาจารย์ปิยบุตร ที่เขียนขึ้นในทวิตเตอร์ ใน Facebook และในบล็อกคณะก้าวหน้า
ที่เห็นว่า เข้ากับรัฐธรรมนูญที่ มาตรา 3-4 ที่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพ ยกเว้นการละเมิดเรื่องความมั่นคง เมื่อเข้าไปดู ป.อาญา มาตรา 108 และ 112 มันน่าจะเข้าข่าย

มาตรา 108 ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระมหากษัตริย์ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน ถ้าการกระทำนั้นมีลักษณะอันน่าจะเป็นอันตรายแก่พระชนม์ ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระมหากษัตริย์ หรือรู้ว่ามีผู้จะกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระมหากษัตริย์ กระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบหกปีถึงยี่สิบปี (เสรีภาพตามมาตรา 4 แห่งบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ได้รับความคุ้มครองและเสมอภาพกัน)*

ภาพ โพสต์ “เทพมนตรี” ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี... ไปแล้วนั้น

ล่าสุด วันนี้ (20 พ.ย. 64) นายเทพมนตรี ยังได้โพสต์ข้อความถึงกรณีหนังสือ Portrait ธนาธร ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โดยระบุว่า

“Portrait ธนาธร ต้องทำการบ้านข้อใหญ่ ต้องอ่าน 3 รอบ ไม่ใช่สามก๊กนะครับ แต่เป็นหนังสือ Portrait ธนาธร และหลักฐานอื่นๆ ทั้งการพูดการเขียน เจ้านายท่านว่าด้วยวิธีการวิพากษ์วิธีของผมจะช่วยบ้านเมืองได้ อันที่จริงวิธีการทางประวัติศาสตร์ผมเรียนมาจากครูบาอาจารย์หลายท่าน บางท่านเอ็นดูธนาธรเสมือนลูกรักและความหวังอนาคตของเขา

ผมจะลองนำมาถอดรหัสและพฤติกรรมของธนาธรเขาดู ผมทำเป็นรายๆ ไม่พร่ำเพรื่อ เจ้านายท่านว่าชอบๆ มาก ลองค้นหาดู ผมเป็นปลื้มเลย”

ภาพ ดร.สุวินัย ภรณวลัย ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
ย้อนไปก่อนหน้านี้ ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย ได้มีการพูดถึงหนังสือ Portrait ธนาธร ว่า

“โดยส่วนตัวผมรู้จัก คุณวรพจน์ พันธุ์พงศ์ คนสัมภาษณ์ ธนาธรในหนังสือ “Portrait ธนาธร” มานานร่วมยี่สิบปี (ในฐานะที่ผมเคยถูกเขาสัมภาษณ์ไม่ต่ำกว่าสองครั้งในอดีต) เขาเป็นนักสัมภาษณ์มืออาชีพและมือหนึ่งระดับต้นๆ ที่หาคนทัดเทียมยากมากแม้ในยุคนี้ ผลงานหนังสือ “Portrait ธนาธร” (ตุลาคม 2018) คือ เครองพิสูจน์อย่างดี เขาสัมภาษณ์ได้ดียิ่ง และธนาธรก็เต็มใจเปิดเผยความคิดของเขาแทบทุกเรื่องที่โดนซักถาม นี่เป็นหนังสือสัมภาษณ์ที่เร้าใจที่สุดเล่มหนึ่งที่ผมเคยอ่านมา

ผมมีหนังสือเล่มนี้หลายเดือนแล้ว ก่อนทราบผลเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562 ผมจงใจไม่อ่านมัน แต่เลือกอ่านหนังสือเล่มนี้ ในวันที่ธนาธรกำลังจะเจอบททดสอบของจริง ซึ่งเจ้าตัวก็รู้ดีว่าวันนั้นต้องมาถึงอย่างแน่นอน แต่ธนาธรคงคิดไม่ถึงว่ามันจะมาเร็วขนาดนี้ ธนาธรเป็นคนที่ชัดเจนมากในความคิดของตัวเอง เขาบอกว่า “ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด เป้าหมายสูงสุดคือ การเปลี่ยนประเทศ” (หน้า 270)

ธนาธรตระหนักดีว่า สิ่งที่เขาพูด เขาทำ มีคนฟัง มีคนเอาด้วย เห็นด้วยกับเขา (หน้า 272) ธนาธรมองว่า คุณสมบัติสำคัญของผู้นำประเทศ คือ ต้องมีเจตจำนงทางการเมืองเป็นหลัก เมืองไทยมีคนเก่งกว่าเขาเยอะแยะไปหมด แต่มีตัวเขาคนเดียวเท่านั้นที่มีเจตจำนงทางการเมืองที่ต้องการ ”ให้ไทยออกจากวังวนของเผด็จการ วังวนของอำนาจนิยมที่รับใช้ชนชั้นนำให้ได้” (หน้า 273)

เจตจำนงทางการเมืองของธนาธรในวัยสี่สิบตอนนี้ มีความห้าวและอหังการในระดับเดียวกับ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อดีตผู้นำนักศึกษาในวัยก่อนสามสิบ หรือในช่วงระหว่างปี 2516-2523 ก็เห็นจะไม่ผิดนัก ธนาธรไม่เคยมองว่าตำแหน่งนายกฯ คือ ลิมิตสูงสุดของตัวเขา … ธนาธรเป็นนักผจญภัย เขาต้องการท้าทายลิมิตสูงสุดของตัวเขาเองในทุกเรื่อง

ในฐานะผู้นำทางการเมือง ธนาธรมุ่งเป้าไปที่การทำให้ตัวเขา “มีอำนาจมากพอที่จะไปต่อรอง (กับ) ××××”
(หน้า 277)

เขายอมรับว่า ในการเคลื่อนไหวสร้างพรรคหาเสียง เขาพูดความจริงได้แค่ครึ่งเดียว ที่เขาพูดออกไปให้สังคมรับรู้ “ไม่เป็นความจริง มันเป็นความจริงแค่ครึ่งเดียว เราถึงโดนฝ่ายก้าวหน้าด่า” (หน้า 277)

“ถามว่าเรารู้มั้ย รู้ … เหี้x มันก็รู้เหมือนกันหมดแหละ ปัญหาคือใครจะทำยังไง เราคิดว่า วิธีการของเราคือต้องมีอำนาจและต่อรอง (กับ)×××× นี่ต่างหากคือเป้าหมาย ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ เอาทหารออกจากการเมืองไม่ได้หรอก จัดการเรื่องนี้ไม่ได้ จัดการเรื่องศาลไม่ได้หรอก จัดการเหี้xห่xอะไรไม่ได้

ถามว่าเรารู้มั้ย สิ่งที่เราพูดโดยไม่พูดเรื่องนี้ มันไม่จริง มันเป็นไปไม่ได้ ถามว่ารู้มั้ย รู้ แต่มันพูดไม่ได้ ยังมีข้อจำกัด” (หน้า 277 ตรงนี้แหละ คือ ความจริงอย่างที่สุดในความคิดและตัวตนของธนาธร เพราะเขาคือนักปฏิวัติที่มีเจตจำนงแรงกล้าที่ต้องการสานต่อภารกิจการปฏิวัติ 2475 ให้สมบูรณ์

จึงไม่แปลกที่เมื่อธนาธรเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ปิยบุตรจึงต้องเป็นเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เพราะมีอุดมการณ์ปฏิวัติ 2475 เหมือนกัน ธนาธรคือผู้นำทางการเมืองคนเดียวในประทศนี้ตอนนี้ ที่ขีดเส้นแบ่งชัดเจนให้ประชาชนต้องตัดสินใจเลือกข้างว่า จะเลือกอยู่ฝั่งเดียวกับเขาแล้วช่วยกันผลักดันการปฏิวัติ 2475 ให้สำเร็จต่อไปหรือไม่ …

ภาพ แกนนำหลักม็อบ 3 นิ้ว ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น “อานนท์ ไมค์ กวิ้น รุ้ง” คุกยาว! ศาลไม่ให้ประกันผิด 112 สองคดีรวด ชี้ปล่อยไปอันตราย

เนื้อหาระบุว่า จากกรณี พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องคดีชุมนุมเมื่อปี 2563 สองคดี ซึ่งมีข้อหาหลักตาม มาตรา 112 ต่อศาลอาญานั้น

สองคดีดังกล่าวคือ ม็อบ 25 พฤศจิกาไป SCB หน้าธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ เมื่อ 25 พ.ย. 63 โดยคดีนี้มีผู้ต้องหา 8 คน คดีที่ 2 คือ คดีการชุมนุม 2 ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว เมื่อ 2 ธ.ค. 63 โดยมีผู้ต้องหา 7 คน

สำหรับนักกิจกรรมทางการเมืองที่มารับฟังคำสั่งฟ้อง ได้แก่ “ฟ้า” พรหมศร วีระธรรมจารี, “ไบรท์” ชินวัตร จันทร์กระจ่าง, “ตี้” วรรณวลี ธรรมสัตยา, “บอย” พงศธรณ์ ตันเจริญ, “แอมป์” ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา, “คริษฐ์” (สงวนนามสกุล), “ฮิวโก้” จิรฐิตา (สงวนนามสกุล)

ล่าสุด ภายหลังทนายความยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว สำหรับ หน้า SCB ศาลพิเคราะห์แล้ว ไม่อนุญาตให้ประกัน นายอานนท์ จำเลยที่ 1 นายพริษฐ์ จำเลยที่ 2 นายภาณุพงศ์ จำเลยที่ 4 และ น.ส.ปนัสยา จำเลยที่ 5 เห็นว่าร้ายแรงประกอบกับจำเลย ถูกดำเนินคดีที่ศาลนี้หลายคดี หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว เชื่อว่า จะก่ออันตรายประการอื่น หรือ หลบหนีคดี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง

ส่วน นายชินวัตร จำเลยที่ 3 พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ระหว่างพิจารณา ตีราคาประกัน 2 แสนบาท โดยมีเงื่อนไขห้ามมิให้จำเลยที่ 3 กระทำการในลักษณะเช่นเดียวกับที่ถูกกล่าวหาซ้ำอีก หรือไปร่วมกิจกรรมที่อาจเสื่อมเสียต่อสถาบันฯ ห้ามจำเลยที่ 3 เดินทางออกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล และให้มาศาลตามกำหนดนัดโดยเคร่งครัด และก่อนปล่อยตัวให้แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทราบ

ขณะที่ น.ส.จิรฐิตา จำเลยที่ 6 นายคริษฐ์ จำเลยที่ 7 นั้น ศาลพิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ระหว่างพิจารณา ตีราคาประกัน 1 แสนบาท โดยมีเงื่อนไขห้ามมิให้กระทำการในลักษณะเช่นเดียวกับที่ถูกกล่าวหาซ้ำอีก หรือไปร่วมกิจกรรมที่อาจเสื่อมเสียต่อสถาบันฯ ห้ามเดินทางออกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลและให้มาศาลตามกำหนดนัดโดยเคร่งครัด และก่อนปล่อยตัวให้แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทราบ

สำหรับคดีหมายเลขดำ อ. 2888/2664 เเยกลาดพร้าว ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์และความหนักเบาแห่งคดีในส่วนของ นายอานนท์ จำเลยที่ 1, นายภาณุพงศ์ จำเลยที่ 3 แล้ว เห็นว่า ร้ายแรง ประกอบกับจำเลยที่ 1, 3 ถูกดำเนินคดีที่ศาลนี้หลายคดี หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว เชื่อว่า จะก่ออันตรายประการอื่น หรือ หลบหนีคดี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง

ภาพ ม็อบ 25 พฤศจิกาไป SCB หน้าธนาคารไทยพาณิชย์ ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
ส่วน นายชินวัตร จำเลยที่ 2 พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณา ตีราคาประกัน 2 แสนบาท โดยมีเงื่อนไขห้ามมิให้จำเลยที่ 2 กระทำการในลักษณะเช่นเดียวกับที่ถูกกล่าวหาซ้ำอีก หรือไปร่วมกิจกรรมที่อาจเสื่อมเสียต่อสถาบันฯ ห้ามจำเลยที่ 2 เดินทางออกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลและให้มาศาลตามกำหนดนัดโดยเคร่งครัด และก่อนปล่อยตัวให้แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทราบ

ขณะที่ น.ส.วรรณวลี จำเลยที่ 4 พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จำเลยที่ 4 ระหว่างพิจารณา ตีราคาประกัน 1 แสนบาท โดยมีเงื่อนไขห้ามมิให้จำเลยที่ 4 กระทำการในลักษณะเช่นเดียวกับที่ถูกกล่าวหาซ้ำอีก หรือไปร่วมกิจกรรมที่อาจเสื่อมเสียต่อสถาบันฯ ห้ามจำเลยที่ 4 เดินทางออกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล และให้มาศาลตามกำหนดนัดโดยเคร่งครัด และก่อนปล่อยตัวให้แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทราบ เช่นเดียวกับ นายพงศธรณ์ จำเลยที่ 5, นายพรหมศร จำเลยที่ 6 และ นายณวรรษ จำเลยที่ 7

แน่นอน, ดูเหมือนหลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการกระทำของ 3 แกนนำ กลุ่มราษฎร หรือ ม็อบ 3 นิ้ว ที่เคลื่อนไหวเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบัน 10 ข้อ” มีความผิดฐานล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงห้ามทำผิดอีก และห้ามมีการสนับสนุนด้วย ทั้งยังมีผลผูกพันทุกองค์กร

เห็นได้ชัดว่า การเอาผิดตามมาตรา 112 เริ่มทำงานอย่างหนัก โดยเฉพาะกับคนระดับหัวขบวน ทั้งที่กำลังไล่ฟ้องดำเนินคดีกับแกนนำม็อบ 3 นิ้ว (ที่ยังประกาศเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบันฯ”) ในความผิดที่ผ่านมา และกับบุคคลที่เคลื่อนไหวสนับสนุน อย่าง “ธนาธร-ปิยบุตร”

โดยเฉพาะพฤติกรรมในอดีต ก็เริ่มถูกนำเอามาเป็นพยานหลักฐานในการแจ้งความเอาผิด เนื่องจากความชัดเจนของคำวินิจฉัยศาลฯ ซึ่งครอบคลุมเอาไว้ทั้งขบวนการ ไม่ว่าจะเป็นการมีส่วนร่วม หรือให้การสนับสนุนการปฏิรูปสถาบันทั้ง 10 ข้อ

ดังนั้น กรณีที่ ธนาธร กำลังถูก “เทพมนตรี” นำหลักฐานเอาผิดจากหนังสือ “Portrait ธนาธร” ซึ่งมีเนื้อหาหมิ่นเหม่อย่างมากต่อการหมิ่นสถาบันฯ จึงนับว่าน่าติดตามอย่างยิ่ง เนื่องจากที่ผ่านมา ธนาธร เอง ก็มีความชัดเจน ในการสนับสนุนม็อบ 3 นิ้วมาตั้งแต่ต้น จนถึงวันนี้อีกด้วย ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือไม่

ที่สำคัญ ยังเห็นได้ชัดอีกด้วย ว่า ศาลเริ่มไม่มั่นใจแกนนำหลักของม็อบ 3 นิ้ว ว่าจะไม่ทำผิดซ้ำเป็นอันตรายประการอื่น และไม่มีมั่นใจว่าจะไม่หลบหนี เพราะคดีทั้งหลายล้วนแต่โทษหนักทั้งสิน อย่างที่ปรากฏให้เห็น

เหนืออื่นใด อาจถึงเวลาแล้วที่ทางออกของม็อบ “ปฏิรูปสถาบันฯ” ให้มันจบที่รุ่นเรา จุดจบก็อยู่ที่ศาลนี่เอง!?


กำลังโหลดความคิดเห็น