ด้านมืด “สามนิ้ว”! “ประวิตร” ทำ “พิธา” สะดุ้ง! ถามแรง นโยบายลดความรุนแรงในครอบครัว ตอบ อย่าเลี่ยง “แกนนำสาว” แฉเอง ตกเป็นเหยื่อคุกคามทางเพศ นักกิจกรรมชาย “เพจดัง” เผย “ทะลุแก๊ส” ลงโทษพวกเดียวกัน สุดเถื่อน หลังทำผิดในม็อบ
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (19 ต.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น นายกทิพย์สะดุ้ง! “นักข่าวประวิตร” ถาม “พิธา” ขึ้นชิงนายกฯ มีนโยบายลดความรุนแรงในครอบครัวยังไง!?
โดยระบุว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.ขอนแก่น หรือ ไคซ์ พรรคก้าวไกลได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2564 โดยมีคณะกรรมการบริหารพรรค, สมาชิกพรรค, ส.ส.พรรค รวมทั้งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ในหลายจังหวัดของภาคอีสาน เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง
ทั้งนี้ พรรคก้าวไกล ได้เสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก โดยมีการนำประเด็นเรื่องชีวิตครอบครัวของนายพิธา มาเชื่อมโยง
ต่อมา นายประวิตร โรจนพฤกษ์ นักข่าวอาวุโสประจำข่าวสด ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ในเมื่อพิธาประกาศพร้อมจะเป็นผู้ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ผมก็ขอประกาศว่า อยากเห็นคุณพิธาพูดให้ชัดว่า ตนเองและพรรคก้าวไกล จะมีนโยบายเรื่องการลดความรุนแรงในครอบครัว และป้องกันการทำร้ายร่างกายภรรยา (หรือสามี) อย่างไรบ้าง – เรื่องนี้สำคัญ เป็นเรื่องหลักการ และหวังว่า พิธาจะไม่เลี่ยง #ป #พิธา #ก้าวไก
อย่างไรก็ตาม หากย้อนไปเมื่อปี 62 ต่าย ชุติมา ทีปะนาถ อดีตภรรยาของนายพิธา ได้ยื่นฟ้องอดีตสามี ต่อมาศาลมีคำสั่งและตัดสิน ยกคำร้อง คดีคุ้มครองสวัสดิภาพความรุนแรงในครอบครัว โดยทาง ต่าย ชุติมา ได้เปิดเผยว่า ต้องขอชี้แจงก่อนว่าคดีนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคดีก่อนหน้านี้ คนหลายคนจะเอาไปปนกันว่า เราฟ้องเขา เขาฟ้องเรา คือ คดีนี้มันเป็นคดีที่แยกออกไป ไม่เกี่ยวอะไรกับเด็ก คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว หมายถึงเรื่องของการทำร้ายร่างกายที่ต่ายยื่นฟ้องไปทางคุณทิม
เป็นการฟ้องเพื่อคุ้มครองสิทธิในตัวเรา พอเหมือนเราได้ไปปรึกษาทางกระทรวง พม. กับมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาค ตอนแรกเราก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราเจอมามันถูกต้องตามทำนองคลองธรรมหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นสิ่งที่ภรรยาคนนึงต้องรับมันให้ได้ แต่พอทางผู้ใหญ่แนะนำว่าควรจะดำเนินคดี เพราะฟังดูน่าเป็นห่วงก็เลยตัดสินใจฟ้อง
วันนี้ พอไต่สวนแล้ว มีการทำร้ายร่างกายจริง แต่ไม่ถึงกับเป็นความรุนแรงในครอบครัว แต่ว่ามันก็กระทบจิตใจของเรา คือถึงมันไม่รุนแรง แต่มันก็มีความกังวลในการอยู่ร่วมกัน
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น แกนนำสาว แฉตกเป็นเหยื่อ ถูกคุกคามทางเพศ จากนักกิจกรรมชาย
โดยระบุว่า กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง แล้วมักจะเงียบลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นคือ การที่มีผู้ชุมนุม ซึ่งไม่ใช่แกนนำตัวหลักถูกคุกคามทางเพศ จากผู้ที่ร่วมกิจกรรมและแกนนำบ่อยครั้ง ที่สำคัญ ทุกครั้งที่เรื่องดังกล่าวเงียบลง เพราะไม่มีการถูกนำมาขยายต่อ เหตุเพราะอ้างว่า กลัวขบวนเสีย แล้วปล่อยให้คนที่ถูกกระทำ ได้แต่เพียงนิ่งเฉยปลอบใจตัวเอง
ล่าสุด นางสาว พิมชนก ใจหงษ์ แกนนำ กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย เครือข่ายของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงการถูกคุมคามทางเพศ หรือ sexualharassment จากนักกิจกรรมเคลื่อนไหวชาย โดยมีรายละเอียดว่า
“#พิมโดนคุกคามทางเพศ #sexualharassment
พิมได้เดินทางเพื่อที่จะไปปราศรัยในจังหวัดหนึ่ง โดยมีการถูกชักชวนจากนักกิจกรรม แต่ในขณะที่เดินทางไปได้มีการนอนร่วมห้องกับพี่ที่ร่วมเดินทางด้วย เพราะเขาบอกไม่สนิทกับพี่อีกคน แล้วก็บอกจะนอนสองเตียง แต่พอเข้าพักจริงมีแค่เตียงเดียว
แต่พิมไม่ได้ไว้ใจมีการคาสายกับคนในทีมไว้ก่อนจะหลับ ประมาณตี 3 พิมรู้สึกเหมือนมีคนมาลูบช่วงขาอ่อนช่วงบน เลยลืมตาขึ้นมาดูแล้วก็ตกใจ เพราะพี่ที่นอนด้วยกำลังกึ่งนอนกึ่งนั่งลูบตัวพิมอยู่
พิมไม่รู้จะทำยังไง เนื่องจากอาการตกใจในตอนนั้น จึงรีบโทร.หาเพื่อน เครียดมากร้องไห้ เพราะไม่รู้จะทำยังไง แล้วเป็นผู้หญิงคนเดียว คิดว่าพูดไปอาจจะได้รับอันตรายกว่าเดิม จึงโทร.หาเพื่อนแล้วเพื่อนให้คำปรึกษาว่าให้ดูเลขห้อง ให้คาสายไว้ พยายามมีสติติดต่อผู้ใหญ่ที่วางใจ เนื่องจากช่วงเช้าจะต้องมีการเดินทางร่วมกัน
หลังจากทำกิจกรรมเสร็จ ทางผู้ใหญ่ที่ดูแลพิมก็ประสานงานให้พิมเดินทางกลับแล้วไม่ไปร่วมกิจกรรมในอีกวัน เพราะใจพิมตอนนั้นไม่โอเครแล้ว หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวพิมทบทวนและขอความคิดเห็นจากผู้ใหญ่หลายท่าน ว่าจะพูดเรื่องดังกล่าวดีไหม เพราะคิดว่าถ้าพูดเสียงพิมอาจไม่มีน้ำหนักพอ แล้วพิมค่อนข้างกลัว
แต่พิมคิดว่าพิมออกมาเรียกร้องเรื่องนี้ แต่ในวันที่พิมตกเป็นเหยื่อการโดนคุกคามทางเพศ ถ้าแม้แต่ตัวเองพิมยังปกป้องตัวเองไม่ได้ พิมจะไม่สามารถออกมาเรืยกร้องเรื่องนี้เพื่อใครได้อย่างเต็มปากเลย วันนี้ถ้าพิมไม่พูด ก็กลัวว่าจะต้องมีคนที่ตกเป็นเหยื่อการโดนคุกคามแบบนี้อีก พิมไม่อยากให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับใคร และพิมก็อยากตักเตือนเขาว่าการกระทำของพี่เขาดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องที่ดี อาจสร้างบาดแผลความกลัวของคนที่เขาคุกคามในระยาวได้เลย
และการที่เขาก็เป็นส่วนหนึ่ง เป็นต้นแบบในการออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย เขาควรจะเคารพสิทธิของผู้อื่น อย่ามาคุกคามคนอื่นแบบนี้ เรื่องนี้สะเทือนใจพิมพอสมควร มันทำให้พิมรู้ว่าพิมควรระวังตัวมากขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไร พิมไม่สมควรเป็นเหยื่อของการโดนคุกคามทางเพศ ไม่ควรมีใครโดนกระทำแบบนี้ ขอเตือนพี่เขาด้วยว่าอย่าทำกับใครอีก ไม่อย่างนั้นพิมจะระบุชื่อให้ทุกคนรู้ไปเลย
#หยุดคุกคามทางเพศ #นักกิจกรรมซ้ายชาย”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน THE TRUTH โพสต์ประเด็น เพจดังแฉยับ “กลุ่มทะลุแก๊ส” ลงโทษ “เก็บยอด” สุดป่าเถื่อนกับพวกกันเอง หลังปาระเบิดไม่รอสัญญาณ
เนื้อหาอ้างถึง “เจ๊จุก คลองสาม” ได้โพสต์ข้อความในกลุ่มปิดส่วนตัวที่ชื่อว่า “เจ๊จุก คลองสาม Family” ว่า “บ้าไปแล้ว! ไหนพวกสามกีบ บอกว่า ความรุนแรงไม่อาจยุติได้ด้วยความรุนแรง แต่ทำไมกลุ่มโรนิน ฝั่งธน ไม่เอาเผด็จการ ถึงใช้วิธีป่าเถื่อนเพื่อแก้ปัญหากันเองคะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความรุนแรงที่เกิดในม็อบมาจากคนกลุ่มไหน ปากบอกเกลียดเผด็จการ แต่ทำซะเอง เตะกันเองโชว์ คิดว่าพวกทะลุแก๊สจะยอมจบหรอ?”
ทั้งนี้ ยังมีการลงคลิป กลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบคนซึ่งส่วนใหญ่สวมใส่ชุดสถาบันช่างกลหลายสถาบันการศึกษา ยืนล้อมวงดูการทำโทษ ที่เรียกกันในหมู่กลุ่มเด็กช่างกล ว่า “เก็บยอด” โดยเป็นการให้ฝ่ายที่ถูกทำโทษนั่งลงบนพื้น คนที่ทำโทษจะใช้เท้าเตะเข้าที่หลังอย่างเต็มแรง บางคนใช้ไม้ ใช้ของแข็งตีใส่ ซึ่งเป็นภาพที่ป่าเถื่อนสุดจะรับไม่ได้
สำหรับความผิด ในเบื้องต้นมีการเปิดเผยว่า จุดเริ่มมาจาก สมาชิกกลุ่มม็อบ “โรนิน ฝั่งธน ไม่เอาเผด็จการ” บางคนมีปัญหากับ “ม็อบทะลุแก๊ซ” เหตุเกิดเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 64 บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ทั้งนี้ กลุ่ม “โรนิน ฝั่งธน ไม่เอาเผด็จการ” ได้ออกมาชี้แจงประเด็นดังกล่าวเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 64 ที่ผ่านมาว่า
“เนื่องจากเหตุการณ์วันที่เกิดเหตุ เกิดคำถามมากมาย ว่า วันนี้ไปรวมกับกลุ่มทะลุแก๊ส ได้ยังไง และเกิดเหตุการณ์ขึ้นได้ยังไง ถ้าคนที่อยู่ในเหตุการณ์จะรู้ครับ เพชรพระอุมา ชวนพวกผมไปรวมกับทะลุแก๊ส ที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย และเนื่องจากมีการจัดกิจกรรมอยู่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา เราจึงเห็นว่ายังไม่ควรก่อความรุนแรงในระหว่างที่มีกิจกรรม
ครั้งแรกที่น้องได้ปาระเบิดเราเข้าไปขอความร่วมมือแล้ว น้องเข้าใจ แต่รถตำรวจคันที่ 2 น้องคนนึงเค้าก็ปาไปอีก จนทางเราบางคนเก็บอารมณ์ไม่อยู่จึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ภายหลังได้ปรับความเข้าใจกับน้องคนในคลิปแล้ว ก็ร่วมงานกันต่อจนจบ อยู่จนมวลชนกลับบ้านอย่างปลอดภัย ถ้าอยู่ในเหตุการณ์จะรู้ครับ”
แน่นอน, ประเด็นที่ต้องการสะท้อนให้เห็น ก็คือ ฉากหน้าการแสดงออกของคน บางครั้ง อาจสามารถกลบเกลื่อนตัวตนด้านมืดได้ จึงไม่แปลกที่ประชาชนจะรู้สึกผิดหวังในตอนหลัง หลังจากนักการเมืองบางคนได้เป็นใหญ่เป็นโต จากนั้นธาตุแท้ก็เผยออกมา
แต่บางคน ก็ไม่เป็นอย่างนั้นเสียทีเดียว เพียงแต่เขามีสองภาพที่แสดงออกพร้อมกัน โดยไม่สนใจที่จะรักษาภาพลักษณ์แต่อย่างใด เพราะเห็นว่า ภาพอีกภาพหนึ่ง คือ ภาพของนักการเมือง ผู้ประกาศตนเป็นนักต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศ มีงานใหญ่ยักษ์ให้ทำอยู่เบื้องหน้า จึงไม่สนใจปัญหาที่ตัวเองคิดว่า เล็กน้อย คือ ปัญหาทำร้ายร่างกายในครอบครัว ระหว่างสามี-ภรรยา
แต่เรื่องเล็กน้อยที่เขาคิด เพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขา หรือ กระแสสังคมสมัยใหม่กลับมองว่า เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญในหลักการ ซึ่งก่อนที่จะนำพาประชาชนไปสู่การเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ได้ เรื่องส่วนตัว จุดเริ่มจากตัวเองที่บริสุทธิ์ และวิธีคิดของตัวเองในการจัดการชีวิตครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุข ควรใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาหรือไม่ เป็นเรื่องสำคัญ
นี่คือ คำถามของ “ประวิตร” และ สิ่งที่ “พิธา” จะต้องตอบ!
ประเด็น คุกคามทางเพศของ นักกิจกรรมเคลื่อนไหวชาย ที่ทำกับ แกนนำหญิง หรือ แนวร่วม ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่มีการแฉออกมาเป็นประจำ เพียงแต่สิ่งที่ “สามนิ้ว” เรียกร้อง ก็คือ ไม่ควรแพร่งพรายออกไปให้สาธารณชนรู้ เพราะจะทำให้เสียขบวนการ แต่คราวนี้ คนที่เจอมากับตัวเอง เป็นคนออกมาเปิดเผย เพราะเชื่อว่า จะเป็นประโยชน์กับคนที่จะตกเป็นเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำอีก มากกว่าเก็บงำเอาไว้ ซึ่งก็จริง
ที่สำคัญ เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า ในขบวนการ “สามนิ้ว” ก็มีทั้งคนที่จริงใจในการต่อสู้ และคนที่แอบแฝงอยู่ในขบวนการก็มากมายเช่นกัน ที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะต้องระวัง โดยเฉพาะ “ผู้หญิง”
และประเด็น การลงโทษกันเองของกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งมาจาก สาย “อาชีวะ” นอกจากจะทำให้เห็นถึงความรุนแรงในการปะทะกับเจ้าหน้าที่ คฝ. ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้ว ยังทำให้เห็น ความเป็นกลุ่มใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหา มากกว่าสันติวิธี อย่างที่ม็อบกลุ่มนี้ แทบจะปะทะกับเจ้าหน้าที่ คฝ.ด้วยอาวุธ และความรุนแรง รายวัน
คำถามก็คือ ยังมีคนคาดหวัง กับกลุ่มคนเหล่านี้ ในการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่า อยู่หรือ? ถ้าไม่ใช่พวกอีแอบ หลอกใช้เป็นเหยื่อความรุนแรง
ทั้งหมด พฤติกรรมมันฟ้องอยู่แล้ว ว่า ฉากหน้ากับฉากหลัง ด้านสว่างกับด้านมืด ใครเป็นอย่างไร แทบไม่ต้องอธิบายอีกแล้ว