“เทพมนตรี” ยัน “14 ตุลา” ในหลวง ร.๙ เป็นกลางทางการเมือง “ท่านใหม่” ย้อนเจ็บ “ทอน-บูด” อยากลบชื่อสถาบันฯ ออกจากแผ่นดินใช่มั้ย ถึงจะพอใจ? ชาวเน็ตแห่ไล่ “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” ชี้ แกนนำสามนิ้วรับกรรมถ้วนหน้า เชื่อถูกต่างชาติเท
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (15 ต.ค. 64) นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักประวัติศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Thepmontri Limpaphayorm ระบุว่า...เศษเสี้ยว 14 ตุลาคม 2516
ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นกลางทางการเมือง และทรงเป็นแบบอย่างการประนีประนอมต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างขบวนการนิสิตนักศึกษา และ รัฐบาล จอมพลถนอม ดังจะเห็นได้จากรัฐมนตรีจากรัฐบาลจอมพลถนอม เข้ามาบริหารงานในรัฐบาลอาจารย์สัญญา สำหรับนิสิตนักศึกษาก็มีพระราชกระแสให้พอใจในสิ่งที่ได้รับไปแล้ว ความเป็นเด็กและความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องมีความหนักแน่นมากกว่า
การเดินทางออกนอกประเทศของจอมพลถนอม และเครือญาติผู้ใกล้ชิด ได้รับการยืนยันจากตัวจอมพลถนอม เอง ว่า เมื่อฟังพระราชกระแสความเป็นผู้ใหญ่ที่ได้ทรงแนะนำรัฐบาลแล้ว จอมพลถนอม จอมพลประภาส ไปรอเข้าเฝ้าฯที่พระที่นั่งอัมพรสถาน
หลังจากนั้น ทั้งสองกับพันเอก ณรงค์ ก็ตัดสินใจที่จะเดินทางออกไปนอกประเทศ ถือเป็นการลดความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานั้น และรับสนองพระราชกระแสที่ทรงแนะนำ
ข้าพเจ้าในฐานะผู้ศึกษาเรื่องนี้ ขอยืนยันว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงวางพระองค์เป็นกลาง มิได้ลำเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างเข้าใจดีต่อเรื่องนี้ เราเป็นคนรุ่นหลังควรศึกษาประวัติศาสตร์อย่างรอบด้าน
การเอาอดีตมาใช้ในทางการเมืองปัจจุบัน เพื่อทับถมหรือด่าทอให้ร้ายกันไม่ควรกระทำ เพราะบุคคลในประวัติศาสตร์ตามที่กล่าวมาเขามิได้มีวัตถุประสงค์เช่นที่ว่านั้นในขณะนั้นเลย
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH ก็โพสต์ประเด็น ม.จ.จุลเจิม กระหึ่ม! ถามคนไทยเจ้าของ ปท. ธนาธร-พวก ควรแบบไหน?
โดยระบุว่า จากกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า นายปิยบุตร แสงกนกกุล และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ได้เดินทางเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการไต่สวน (กกต.) พร้อมกล่าวถึงคนบางกลุ่ม จนกลายเป็นกระแสถูกพูดถึงอย่างมาก
ทั้งนี้ แกนนำคณะก้าวหน้า ได้เข้าชี้แจงต่อ กกต. กรณีที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นเรื่องกล่าวหาว่า คณะก้าวหน้าส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งท้องถิ่น เข้าข่ายมีพฤติกรรมเลียนแบบพรรคการเมืองขัดมาตรา 111 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง
ต่อมา นายปิยบุตร ให้สัมภาษณ์ช่วงหนึ่งว่า ไม่รู้ว่าคนบางกลุ่มในประเทศนี้จะกลัวอะไรพวกตน คุณเล่นทุกวิถีทางตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2561 ที่เรามาจดจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ เล่นมาเรื่อยๆ จนยุบพรรค ตัดสิทธิ์ จึงอยากถามว่า เอาให้ชัดใช้ลิควิคเปเปอร์ลบชื่อตนกับนายธนาธรออกจากแผ่นดินนี้เลยไหม จึงจะพอใจ
ล่าสุด ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือ ท่านใหม่ ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าว ซึ่งหลังจากโพสต์เผยแพร่ ก็มีคนเข้ามาสนับสนุนแนวความคิดของท่านใหม่ เป็นจำนวนมาก คล้ายกับการสำรวจ หรือโพล
โดยท่านใหม่ระบุว่า ธนาธรถาม…หรือต้องลบชื่อพวกเราออกจากแผ่นดินไทยถึงจะพอใจ…ผมขอถามธนาธรกลับบ้าง หรือธราธรและพวก ต้องการลบ...สถาบันพระมหากษัตริย์ออกจากแผ่นดินไทย ถึงจะพอใจ และผมก็อยากจะถามประชาชนคนไทย เจ้าของประเทศ ช่วยตัดสินใจ ว่าพวกท่านจะเลือกแบบไหน…?
จากนั้น มีผู้เข้ามาแสดงความเห็น เป็นต้นว่า
อย่าว่าแต่เห็นหน้าธรและบริวารเลย แค่ได้ยินชื่อก็นึกถึงเพลงหนักแผ่นดินแล้ว คงคิดได้นะ ว่าสมควรอยู่บนแผ่นดินไทยมั้ย
ไม่แค่ลบชื่อนะ คือให้มั…ไสหัวออกไปจากประเทศไทยด้วย
ไม่ควรมีชื่อพวกเองตั้งแต่เกิดแล้ว
ลบพวกมั…ไปแผ่นดินไทยจะได้สูงขึ้น
ไม่เคยต้องเลือกเลยค่ะ ไม่เคยเป็นกลางด้วยค่ะ ทั้งชีวิตอยู่ข้างในหลวง และสถาบันฯ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ใช้เอาพวกมึ…ออกให้หมด หนักแผ่นดิน
สถาบันกษัตริย์อยู่คู่แผ่นดินนี้ ก้มลงกราบด้วยใจที่จงรักภักดี
ไม่ได้ต้องการลบชื่อค่ะ ฉันคนนึงที่อยากให้ออกไปจากแผ่นดินไทยแล้วไปตั้งรกรากที่อื่น เพราะการมาของคุณทำประเทศชาติเดือดร้อน คนไทยเกลียดชังกันหนักกว่ายุคก่อนๆ เด็กเลิกเคารพผู้ใหญ่.. คุณและพวกของคุณธนาธร.. ไม่ควรเป็นคนไทยเลย.. เพราะสำนึกแรกในการรักชาติ.. คือ ต้องปลูกฝังให้คนในชาติรักและสามัคคีกัน ซึ่งคุณและพวกพ้องไม่มี
ถ้ากลุ่มของพวกท่านเสียสละออกไปจากประเทศไทย….เพื่อประเทศไทยมีสุข ผมก็จะขอขอบคุณท่านๆ เป็นอย่างสูงครับ..
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“อย่าร้อง
แกนนำสามนิ้วถูกกรรมตามทัน โดนคดีคนละหลายคดีถ้วนหน้า ได้ประกันตัวบ้าง ไม่ได้ประกันตัวบ้าง กฎหมายไม่ได้จำกัดสิทธิ แต่การใช้เสรีภาพต้องมีขอบเขตตามที่กฎหมายกำหนด
ม.112 มีมาก่อนพวกคุณเกิด บัญญัติไว้เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์มิให้ถูกล่วงละเมิด แต่มีคนบางกลุ่มอยากลองดี ต้องเดินหน้าไปว่ากันในศาล
การนำเอาสถาบันฯที่คนทั้งประเทศรักและหวงแหนมาเล่น เพื่อหวังจุดไฟในนาคร ให้รัฐใช้ความรุนแรงในการปราบปราม เพื่อเป็นข้ออ้างให้ต่างชาติเข้าแทรกแซง หมากกลนี้ตื้นเขินไป อย่าตั้งความหวังกับต่างชาติสูงเกินไป ทิ้งมิตรร่วมรบมามากต่อมากแล้ว มีแต่คนโง่เท่านั้นที่หลงคารมฝรั่งต่างชาติ
บางคนโม้ว่า ต่อสู้เพื่ออนาคตที่ดีกว่า ตราบใดที่คนในพรรคยังพูดจาคลุมเครือ อธิบายไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย หลอกได้แต่เด็กอมมือ
ฝันกลางฤดูฝน ไปไม่เป็นแน่นอน”
แน่นอน, น่าคิดตรงคำพูดของ “ปิยบุตร” ที่ว่า “อยากถามว่า เอาให้ชัดใช้ลิควิคเปเปอร์ลบชื่อตนกับนายธนาธรออกจากแผ่นดินนี้เลยไหม จึงจะพอใจ”
กับคำพูดของ “ท่านใหม่” ที่ว่า “ผมขอถามธนาธรกลับบ้าง หรือธราธรและพวก ต้องการลบ...สถาบันพระมหากษัตริย์ออกจากแผ่นดินไทย ถึงจะพอใจ”
ที่มาแห่งความอัดอั้นตันใจของนายปิยบุตรกับพวก ก็คือ “ไม่รู้ว่าคนบางกลุ่มในประเทศนี้จะกลัวอะไรพวกตน คุณเล่นทุกวิถีทางตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2561 ที่เรามาจดจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ เล่นมาเรื่อยๆ จนยุบพรรค ตัดสิทธิ์”
ส่วนที่มา ของ “ท่านใหม่” ก็คือ มีม็อบของขบวนการ “สามนิ้ว” หลายม็อบ เรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” เพื่อที่จะให้อยู่ร่วมกับคนรุ่นใหม่ ที่เรียกร้องประชาธิปไตยได้ นายปิยบุตร เคยพูดทำนองว่า ถ้าไม่ปฏิรูป ระวังจะถูกปฏิวัติ หรือ “ปฏิรูปแบบปฏิวัติ” ซึ่งชัดเจนต่อสาธารณชน ว่า คณะก้าวหน้าของ ธนาธร ปิยบุตร พรรคก้าวไกล ลูกพรรคอดีตพรรคอนาคตใหม่ ของ ธนาธร สนับสนุนการปฏิรูปสถาบันฯ
ที่สำคัญ พฤติกรรมของม็อบสามนิ้ว ไม่เพียงชุมนุมเรียกร้องโดยสันติ ปราศจากอาวุธตามกฎหมายเท่านั้น หากแต่ตั้งเป้าที่จะทะลุเพดานการพาดพิงสถาบันฯมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อกดดัน บีบคั้น โดยแทบไม่หลงเหลือความเคารพยำเกรง เช่น การปราศรัยจาบจ้วงล่วงละเมิด การเผาพระบรมฉายาลักษณ์ การเผาสัญลักษณ์ต่างๆ การประกาศที่จะเคลื่อนขบวนไปในสถานที่มิบังควร ต้องห้าม ฯลฯ เหล่านี้มีคดีมากมายเป็นพยานหลักฐานว่า ม็อบทำจริง จนเข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย
แม้แต่ทุกวันนี้ ม็อบสามนิ้ว ก็ยังคงชุมนุมเรียกร้องกดดัน ในนามม็อบทะลุฟ้าและทะลุแก๊ส ซึ่งปะทะกับเจ้าหน้าที่ คฝ.ดัวยความรุนแรงแบบรายวัน จนชาวบ้านชาวเมืองเอือมระอา แต่นายปิยบุตร กลับเห็นว่า เป็นการลุกขึ้นสู้แบบปฏิวัติ ปลุกความฮึกเหิมให้กับม็อบ โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน
คำถาม คือ ใครกันแน่ที่โดนกดดัน กลั่นแกล้งรังแกมากกว่ากัน จนแทบชนิดที่วา ไม่ต้องการให้อยู่ในแผ่นดินไทย จึงจะพอใจ?