ข่าวปนคน คนปนข่าว
** “ทักษิณ” ลืมมองตัวเอง บอก “3 ป.” พอเถอะ หมดยุคเบบี้บูมเมอร์แล้ว
หลังพรรคร่วมรัฐบาลเคลียร์ปมคาใจ ปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐเริ่มคลี่คลาย เรื่องปรับ ครม.ยังไม่มี ยุบสภายังไม่ถึงเวลา “รัฐนาวาลุงตู่” ยังคงเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ 20 ปี ภายใต้การควบคุมของ “พี่น้อง 3 ป.”
ต่อให้เลือกตั้งใหม่ ภายใต้กติกาบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ โอกาสที่พรรคเพื่อไทยและฝ่ายค้านจะพลิกกลับมาเป็นรัฐบาลก็ยังยาก เพราะ 3 ป. มี “พรรค ส.ว.” 250 เสียง เป็นแต้มต่ออยู่ก่อนแล้ว อย่าว่าแต่ฝ่ายค้านยังหาตัว “แคนดิเดตนายกฯ” มาสู้กับ “ลุงตู่” ไม่ได้ ความหวังก็ยิ่งว้าเหว่
เห็นทิศทางการเมืองอย่างนี้แล้ว “โทนี่ วู้ดซัม” หรือ ทักษิณ ชินวัตร ก็อดรนทนไม่ได้ ต้องหยิบยกเอาประเด็นนี้มาพุดคุยกับบรรดาสาวก ในรายการ CareTalk x Care Clubhouse เมืองสองวันก่อน ตั้งชื่อหัวข้อว่า “7 ปีพัง ขออีก 5 ปีคงพินาศ ฮัลโหลคนไทยไว้ใจประยุทธ์ได้หรือ?”
“พี่โทนี่” กล่าวฝากถึง “น้องตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า เรื่องเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นพอเถอะ พอได้แล้ว แต่นี่ยังไปพูดกับประชาชนที่ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่าขอเวลาอีก 5 ปี
วันนี้ท่านขออีก 5 ปี เพื่อพลิกโฉมประเทศไทย ผมไม่แน่ใจว่าท่านจะอยู่พลิกโฉมได้หรือเปล่า เพราะสิ่งที่ทำ ท่านทำให้ประเทศเสียโฉมมาเยอะแล้ว แล้วท่านจะพลิกโฉมอย่างไร เหมือนเราอยากแต่งตัวหล่อ อยากทำหน้าสวย ทำศัลยกรรมหน้าสวยๆ ก็ต้องให้หมอศัลยกรรมหน้าสวยๆ มาทำ ไม่ใช่เอาสัปเหร่อมาทำ ท่านทำจนบ้านเมืองพังหมด 7 ปี แล้ววันนี้จะขออีก 5 ปี ผมยกมือไหว้ล่ะ ผมรุ่นพี่นะ ไหว้รุ่นน้องเลย ขอเถอะ พอเถอะ เสียดายบ้านเมือง เสียดายบ้านเมืองจริงๆ พอเถอะ ให้คนรุ่นใหม่มาทำเถอะ
เรามันแก่แล้ว พวกเรามันพวก Baby Boomer ไม่เข้าใจหรอก ว่าเด็กรุ่น Generation หลังๆเรา คิดกันยังไง ขนาดผมอ่านหนังสือ ติดตามคุยกับเด็ก ผมยังคิดว่าผมไม่เข้าใจลึกซึ้งพอ แต่ท่านเนี่ยไม่มีเลย ผมว่าท่านไม่เข้าใจเลย 7 ปีที่ผ่านมามันพิสูจน์แล้วว่า ท่านหยุดดีกว่า ให้คนรุ่นใหม่มาทำเถอะ คนรุ่นใหม่ไม่ใช่อีก ป. หนึ่งนะ ท่านมี 3 ป. ทั้ง 3 ป. มันตกรุ่นหมดแล้ว พอได้แล้ว
“พี่โทนี่” เกทับว่า ขนาดตัวเองอ่านหนังสือมากมายยังไม่เข้าใจ ยังตามไม่ทันความคิดของคนรุ่นใหม่ แล้ว “น้องตู่” ไม่ค่อยอ่านหนังสือ มิยิ่งไปกันใหญ่หรือ แต่ ยอมรับว่า ตัวเองก็มีส่วนในการสร้างบาปสร้างกรรมให้กับประเทศ เพราะเป็นคนตั้ง “3 ป.” ให้เข้ามาสู่วงจรอำนาจเอง วันนี้จึงต้องออกมา “ยกมือไหว้” ขอให้ 3 ป. ลงจากอำนาจเถอะ
ผมมีส่วนตั้งพวกท่านมาทั้งนั้น แต่ว่ามันเป็นบาปกรรม ผมส่งเสริมพวกท่านมาแล้ว วันนี้ท่านมาเล่นอย่างนี้ กอดคอกัน รักษากัน รักษาเก้าอี้กัน แต่บ้านเมืองพัง ผมคิดว่าท่าน มันตกยุค วันนี้ Baby Boomer ต้องอย่านั่งเป็นนายกฯเลย พอแล้วให้ Gen X Gen Y ดีกว่า เลยบอกว่า 7 ปีหนักหนาแล้ว 5 ปีอย่าเลย พอเหอะ (ยกมือไหว้)
จะว่าไปแล้ว “ทักษิณ” คงลืมนึกถึงว่า ตัวเองก็เป็นคนยุค Baby Boomer เหมือนกัน และก็ยังตัดใจไม่ได้กับเรื่อง “อำนาจ” มิเช่นนั้นแล้วคงไม่ให้การสนับสนุน อยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองของตัวเอง ที่พยายามทุกทางที่จะโค่นล้มรัฐบาล จนบ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้
และช่วงนี้ ทักษิณนอกจากจะพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองดู “หนุ่มขึ้น” แล้วยังมีข่าวว่ากำลังเฟ้นหาคนรุ่นใหม่ ที่จะมาหัวหน้าพรรค เพื่อจะชูเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีสู้กับ “ลุงตู่” แต่คงยังหาไม่เจอ จึงออกมาปล่อยมุก ยกมือไหว้ 3 ป. ขอให้พอเถอะ!!
** อาลัย “มารวย ผดุงสิทธิ์” เอกบุรุษสัญลักษณ์ของตลาดหุ้นไทย
นับเป็นการสูญเสียของวงการตลาดทุนไทย เมื่อมีรายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ต.ค.เวลาประมาณ 20.00 น. “ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์” อดีตกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ อดีตรมช.คลัง ในสมัยรัฐบาล “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ได้ถึงแก่กรรมแล้วด้วยวัย 92 ปี
“ดร.มารวย” เป็นบุคคลที่มีคุณูปการต่อการพัฒนาตลาดหุ้นไทยในสมัยเป็นผู้จัดการบริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เป็นแหล่งระดมทุนสำคัญของธุรกิจ และเป็นที่ลงทุนของนักลงทุน เปลี่ยนระบบการซื้อขายจาก “เคาะกระดาน” มาเป็น “คอมพิวเตอร์” ซึ่งถือเป็นการพลิกโฉมหน้าตลาดหุ้นไทย เป็นรากฐานการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์มาจนถึงปัจจุบัน
ชื่อของ “ดร.มารวย” ยังเป็นที่จดจำของนักลงทุนได้ดี เพราะในห้วง 6 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2528-2535 ที่อยู่ในตำแหน่งผู้จัดการตลาดหุ้นนั้น
ยุคนั้นมีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้นหลายครั้ง เช่น วิกฤตจันทร์ทมิฬ (Black Monday) ซึ่งตลาดหุ้นทั่วโลกตกต่ำอย่างหนักกินเวลายาวนานเกือบ 2 เดือน, วิกฤต Mini Black Monday ในช่วงกลางเดือนตุลาคม2532 และวิกฤตการณ์สงครามอ่าวเปอร์เซีย ซึ่ง อิรักบุกยึดคูเวต เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2533
ด้วยความรู้ความสามารถ และบุคคลิกที่บ่งบอกถึงความเป็นคนใจดี เป็นที่รักของพนักงานตลาดหลักทรัพย์ สื่อมวลชน และนักลงทุน “ดร.มารวย” ก็พาตลาดหุ้นไทยผ่านช่วงวิกฤตมาได้ โดยเมื่อ นึกถึงตลาดหุ้น ก็ต้องนึกถึง “มารวย” เป็นสัญลักษณ์ที่อยู่คู่ตลาดหลักทรัพย์ ก็ว่าได้
“ดร.มารวย” เคยกล่าวถึง ปรัชญาการทำงานของเขากับพนักงาน ก็คือ จะทำงานกันเป็นทีม การตัดสินใจนั้นทุกคนมีส่วนร่วม โดยดร.มารวย จะเป็นผู้รับผิดชอบตามหน้าที่ และให้มีการกระจายความรับผิดชอบให้มากที่สุด
“ดร.มารวย” เกิดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2472 ที่ ต.ห้วยสัก อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เข้าศึกษาที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟ บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ก่อนย้ายมาศึกษาต่อที่โรงเรียนเทเวศร์ศึกษา ตามบิดาที่รับราชการในกรมรถไฟ จากนั้นได้ย้ายตามบิดาไปอยู่ในจังหวัดต่างๆ ในเขตภาคเหนือ และเข้าศึกษาจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ ก่อนเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดบวรนิเวศ จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
กระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง “ดร.มารวย” หยุดเรียน และกลับไปอาศัยอยู่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ต่อมาบิดาล้มป่วย และต้องลาออกจากราชการ จึงต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว โดยสอบเข้ารับราชการได้ที่กรมรถไฟ และย้ายไปอยู่กรมชลประทาน กรมบัญชีกลางตามลำดับ
“ดร.มารวย” สอบเทียบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 และเข้าเรียนต่อจนจบปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสอบชิงทุนไปเรียนต่อปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยซีราคิวส์ สหรัฐฯ จากนั้นได้รับการติดต่อให้สอบชิงทุนของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน
“ดร.มารวย” ได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คนที่ 5 ระหว่างปี พ.ศ. 2528-2535 กระทั่งต่อมาได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลของ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ในช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินใน พ.ศ. 2540 หรือที่รู้จักกันในชื่อ "วิกฤตต้มยำกุ้ง" ทำให้รัฐบาลพ่อใหญ่จิ๋ว ต้องประกาศลดค่าเงินบาท แต่ดำรงตำแหน่ง รมช.คลังได้ไม่นาน “ดร.มารวย” ก็ต้องพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีทั้งคณะ หลังจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี ประกาศลาออกจากตำแหน่ง
เมื่อสิ้น “ดร.มารวย” อดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ คนที่มีคุณูปการกับตลาดทุนไทยแล้วก็ต้องขอแสดงความอาลัยมา ณ ที่นี้อีกครั้ง