รายการ “ถอนหมุดข่าว” ทาง NEWS1 โดย นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม เครือผู้จัดการ วันที่ 6 ต.ค.64 นำเสนอรายงานพิเศษรอยเลือด ความทรงจำ วีรชนคนกล้า 13 ปี 7 ตุลาฯ
แก๊สน้ำตาที่ใช้สลายม็อบสามนิ้ว ในปี พ.ศ.2564 หากนำไปเทียบกับแก๊สน้ำตาที่เคยใช้สลายม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณหน้ารัฐสภา เมื่อปี 2551
ต้องบอกว่า แก๊สน้ำตา ใน พ.ศ.นี้ กลายเป็นเด็กๆ ไปเลย เพราะมันปราศจากฤทธิ์อันไม่พึงประสงค์แสนหฤโหด อย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551
ผู้บาดเจ็บจากพิษของแก๊สมีกว่า 400 คน แต่ที่ไม่ธรรมดา มีคนกล้าเสียชีวิตถึง 2 คน และบาดเจ็บสาหัสพิกลพิการ แขนขาด ขาขาด นิ้วขาด กันหลายคน
ย้อนอดีตไปเหตุการณ์น่าเศร้าใจนั้น เมื่อ 13 ปีก่อน ม็อบพันธมิตรฯ ชุมนุมที่หน้าริเวณรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค. ต่อเนื่องตลอดคืน จนถึงเช้าวันที่ 7 ต.ค. เพื่อประท้วงอย่างสันติไม่ให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีหมาดๆ เข้าไปแถลงนโยบายเพื่อรับตำแหน่ง อันเป็นการสืบทอดอำนาจในวงศ์ญาติของ “ทักษิณ ชินวัตร”
รัฐบาลส่งกำลังตำรวจปราบจลาจล มาระดมยิงใส่ผู้ชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตานับร้อยลูก เพื่อหวังเปิดทางให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เข้าสภาให้จงได้
เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างตำรวจกับม็อบ ดำเนินไปตลอดทั้งวัน ท่ามกลางควันแก๊สน้ำตาฟุ้งตลบ บริเวณหน้ารัฐสภา ลามไปถึงบริเวณกองบัญชาการตำรวจนครบาล และจุดอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ
ภาพผู้บาดเจ็บแขนขาจากแก๊สน้ำตา เลือดนองแดงฉาน เป็นเหตุการณ์ช็อกสายตาผู้พบเห็น ตลอดจนสื่อมวลชน
แก๊สน้ำตาอะไรจะโหดร้ายรุนแรงเท่านี้ ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การสลายม็อบเมืองไทย คนที่ทำเหมือนมันไม่ใช่คน
แต่ในสมรภูมิระเบิด การปราบปรามประชาชนมือเปล่าอย่างโหดร้ายอำมหิต ยังปรากฏความมีมนุษยธรรม และคุณธรรมในท่ามกลางการไล่ล่าเข่นฆ่าอย่างป่าเถื่อน ของนายพลตำรวจคนหนึ่ง
ที่พอเห็นคนเจ็บสาหัสขาขาด ถึงกับฉีกเครื่องแบบตัวเองออกมาพันแผลปฐมพยาบาลให้ พร้อมทั้งช่วยล้างหน้าให้คนเจ็บอีกหลายคน
เขาคือ พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผบช.น. (ยศและตำแหน่งในเวลานั้น) วีรกรรมนี้ได้รับความชื่นชมสดุดี จนได้รับฉายาว่า “สุภาพบุรุษแก๊สน้ำตา”
ผลจากการสลายม็อบ 8 ต.ค. นำมาสู่การสั่งดำเนินคดีโดย ป.ป.ช. เอาผิดผู้สั่งการใหญ่ 4 คน ประกอบด้วยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. ข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบ มาตรา 157
ใช้เวลาต่อสู้คดีนานถึง 9 ปี ศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 4 โดยศาลเห็นว่า ไม่มีเจตนาจะทำให้ผู้ชุมนุมถึงแก่ความตาย หรือแขนขาขาด
หลังเหตุการณ์ 7 ต.ค. 2551 ยังมีคำสั่งให้ผู้เชี่ยวชาญ ร่วมกันทดสอบแก๊สน้ำตาทุกชนิดที่ตำรวจมีอยู่ ณ เวลานั้น เพื่อค้นหาสาเหตุว่าทำไมแก๊สน้ำตา ทำคนแขนขาขาดได้
พบว่าแก๊สน้ำตาในราชการตำรวจ มีทั้งแบบยิงและแบบขว้าง สั่งซื้อจากสหรัฐอเมริกา สเปน และจีน รวม 6 รุ่น
แต่แก๊สน้ำตาของจีน ทั้งแบบยิงและขว้าง แสดงผลทดสอบน่าพรั่นพรึง เพราะมันมีฤทธิ์ระเบิดในตัวด้วย ถึงขนาดพื้นซีเมนต์แข็งๆ ยังแตกเป็นหลุม สอดคล้องกับการเสียชีวิตและแขนขาขาดของผู้ชุมนุม
จากนั้นมา จึงมีการปรับปรุง พัฒนา ในการจัดซื้อแก๊สน้ำตา ให้ได้มาตรฐานสากล รวมถึงวิธีการใช้แก๊สน้ำตาอย่างถูกต้อง
มีการสถาปนาหน่วยงานใหม่ขึ้นมา ในปี 2552 ชื่อว่า กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน หรือ อคฝ. ที่กลายเป็นคู่ปรับตัวฉกาจของ “ม็อบทะลุแก๊ส” ในปัจจุบันนี้
ในส่วนของ พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดาเอง รวมถึง รองผบช.น. คนอื่นๆ ก็ถูกสอบสวนกราวรูดคดีสลายม็อบพันธมิตรฯ 2551 เช่นกัน แต่พ้นข้อหาความผิดมาได้ทุกคน
ส่งผลให้เส้นทางราชการของ พล.ต.ต.จักรทิพย์ ไม่มีสะดุด จนขึ้นเป็น ผบช.น. เมื่อปี 2553
ในที่สุด ก็ขึ้นสู่เก้าอี้ ผบ.ตร. ในปี 2558 ด้วยอายุแค่ 55 ปี เป็น “บิ๊กแป๊ะ” ที่ประชาชนชื่นชม สามารถสร้างเกียรติประวัติส่วนตัว เกษียณอายุราชการในตำแหน่ง ผบ.ตร. ได้สำเร็จ เมื่อปี 2563 ซึ่งแทบไม่มี ผบ.ตร.คนไหนๆ เคยทำได้ แถมยังเป็นการอยู่ในตำแหน่งนี้ยาวนานกว่าใครถึง 5 ปี
ด้วยนิสัยแบบ “สุภาพบุรุษแก๊สน้ำตา” นั่นเอง “บิ๊กแป๊ะ” แสดงตัวตนแบบเดียวกันออกมา ตอนเกิดเหตุ 13 หมูป่าติดในถ้ำหลวง
พาลูกน้องแยกตัวไปทำงานเหนื่อยยาก ด้วยการปีนเขาขึ้นไป เพื่อสำรวจหาช่องโหว่ ที่อาจโรยตัวลงสู่ถ้ำได้
มาถึงตอนเหตุการณ์ทหารคลั่ง กราดยิงสังหารหมู่ที่โคราช “บิ๊กแป๊ะ” ในชุดคอมมานโด เข้าไปคุกเข่าสั่งการ บัญชาการการล้อมจับตายทหารคลั่งด้วยตัวเอง
“พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ” จบชีวิตราชการ แต่ชื่อและวีรกรรมของเขายังตราตรึงในความทรงจำของใครต่อใคร และโมเมนต์นี้ เขาได้อาสามาสมัครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่การเลือกตั้งจะมีในต้นปี2565 เป็นผู้สมัครอิสระ ไม่สังกัดพรรคการเมือง โดยตั้งจิตปณิธาน ขอทำงานรับใช้ประชาชน