ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ถึง “หมอแล็บแพนด้า” แชร์เอง เขียนเอง เจ็บเอง ลบเอง แล้วจะร้องอะไร
เมื่อวานเขียนถึงเพจ “หมอแล็บแพนด้า” ที่แชร์โพสต์ของ “นายแพทย์ภาสกร วันชัยจิระบุญ” กรณีการถอนงานวิจัยฟ้าทะลายโจร โดยที่ “หมอแล็บ” เขียนโปรยว่า “งานวิจัยฟ้าทะลายโจรชิ้นนี้ถูกถอดออกไปแล้วนะครับ เพราะคำนวณสถิติผิดพลาด สรุปที่ถูกต้องสำหรับงานวิจัยนี้ คือ ฟ้าทะลายโจรไม่แตกต่างจากยาหลอก”
ฟังว่าต่อมาโพสต์นี้ได้รับความสนใจ มีผู้คนเข้าไปแสดงความคิดเห็นแย้งกันกระหน่ำ ในสองประเด็น คือ เรื่องการถอนงานวิจัย ที่หมอแล็บใช้คำว่า “ถอด” เป็นการฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมากระเดียดเสียมากกว่า ขนาดหมอเจ้าของงานวิจัยยังบ่นว่าโดนตัดต่อข้อมูลให้คนเข้าใจผิด แต่ “หมอแล็บ” ก็ยังพยายามเขียนให้คนเข้าใจผิดต่อไป
เหตุที่สอง ก็มาจากคำที่ว่า “ฟ้าทะลายโจรไม่แตกต่างกับยาหลอก” ที่หมอแล็บ เชื้อเชิญทัวร์คนจริงให้มาลงเพจของเจ้าตัว เพราะอ่านแล้วเข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่าเป็นการ “ด้อยค่า” ฟ้าทะลายโจร
เห็นว่า ทัวร์คนจริงเหล่านั้นคอมเมนต์ ด้วยประสบการณ์ตรงตัวเองที่กินฟ้าทะลายโจรแล้วหาย พ่อ แม่ พี่น้องของเขา ตลอดจนตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงไม่อิงดรามา พอคนมาแสดงความเห็นแย้งมากๆ และแล้วโพสต์นั้นก็ถูกลบออกในเวลาต่อมา
เรื่องของเรื่องก็มีด้วยประการฉะนี้ ตามเรื่องที่เป็นไป และบังเอิญมีคนตาดี แคปโพสต์ไว้ พื้นที่ตรงนี้ที่เขียนก็เพราะอยากเตือนสติ “หมอแล็บแพนด้า” ก่อนจะแชร์ จะโพสต์อะไร ไหนๆ ก็อยู่วงการแพทย์ เป็นเทคนิคการแพทย์ ก็ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน ของแบบนี้เป็นพื้นฐานของการสื่อสารสาธารณะ ต้องระมัดระวังคำพูดคำจาให้ดี ยิ่งในภาวะวิกฤตโรคระบาด อะไรที่ช่วยให้ประชาชนพ้นภัย ก็ต้องช่วยกันมั้ย
จะหิวแสง หาแสง อยากเป็นเซเลบฯ มีคนนิยมยกย่องไม่มีใครว่าอยู่แล้ว แต่บนโลกโซเชียลฯ ยิ่งอยากจะเป็นสื่อ มันก็ต้องพร้อมรับสองด้าน ที่ทั้งรับผิด และรับชอบ รับแต่ชอบอย่างเดียวไดัอย่างไร เมื่อผิดพลาดอะไรขึ้นมาก็ต้องรับผิดด้วย แก้ไขปรับปรุงให้ดี
นี่แทนที่จะรับฟัง ดูเหมือน “หมอแล็บ” จะยังเบลอๆ ตื่นขึ้นมาตาหมองคล้ำ หรือยังปรับอารมณ์โกรธถูก “จับโป๊ะ” ไม่ได้ กล่าวหาว่าทางผู้จัดการมั่ว พร้อมๆ กัน ก็มีแฟนคลับเพจ นำคณะทัวร์มาลงที่เพจผู้จัดการ อุ่นหนาฝาคั่ง การแสดงออกก็มีทั้งกักขฬะ ด่าทอ Save หมอแล็บ กันใหญ่ ... ก็ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหา ทางเรายินดีต้อนรับ ก้อมาได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว
ขณะที่เพจ “หมอแล็บ” เองก็อัปโพสต์รูปตัวเองพร้อมยืนแอกชันกับกล่องฟ้าทะลายโจร พร้อมบรรยายว่า “เสียใจหาฟ้าทะลายโจรมาให้ผู้ป่วยเยอะมาก ล่าสุด แชร์งานวิจัยที่ถูกถอนแค่งานวิจัยเดียว โดนหาว่าด้อยค่าฟ้าทะลายโจรไปอีกครับ ชีวิตอดสูมาก นอนแพ้บ”
นี่ก็ต้องบอกว่า ถ้าไม่มีเหตุก็คงไม่ได้เห็นภาพนี้ ซึ่งก็ถือว่า เป็นเรื่องดีไม่ใช่ไม่ดี ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ชีวิตหดหู่ อดสู “หมอแล็บ” ออกจะดรามาไปหน่อยหรือเปล่า แสดงว่า หมอก็รู้อยู่แล้วว่า ฟ้าทะลายโจรดี จึงหาแจกชาวบ้าน
ที่น่าอดสูกลับเป็นเรื่องของโพสต์ปัญหา “ฟ้าทะลายโจรไม่ต่างกับยาหลอก” นั่นต่างหาก ที่ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วก็ยังไปโพสต์ด้อยค่าฟ้าทะลายโจรทำไม ?
และน่าอดสูขึ้นไปอีกว่า ไหนๆ หมอแล็บก็รู้เรื่องดี ชอบอ่านงานวิจัย แชร์ข่าวโน่นนั่นนี่ แต่ไล่ดูในเพจ “หมอแล็บ” ก็ไม่เคยแชร์ งานวิจัยเกี่ยวกับฟ้าทะลายโจร ด้านสรรพคุณที่มีประโยชน์ ยกตัวอย่าง “สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์” ที่เปิดเผยผลวิจัยฟ้าทะลายโจร ไม่มีผลต่อตับ ที่ปิดปากพวกที่ชอบด้อยค่าฟ้าทะลายโจร ว่า มีผลกับตับได้สนิท
งานวิจัยของสถาบันจุฬาภรณ์ ถูกแชร์กันแพร่หลาย และยังมีงานวิจัยดีๆ เกี่ยวกับฟ้าทะลายโจร รวมไปถึง มติ ครม.ที่ให้ชาวบ้านส่งเสริมปลูกฟ้าทะลายโจร เพื่อพึ่งพาตัวเองสู้ภัยวิกฤต ...เนี่ย หมอแล็บไม่ยอมงับ ไม่เคยแชร์ ใช่หรือไม่
งานนี้ “หมอแล็บ” ก็ต้องถามใจตัวเองดู ที่คิดว่าทำดี ก็ทำดีต่อไป ช่วยเหลือสังคม โดยใช้ความรู้ความสามารถตัวเอง ก็ขอสนับสนุนด้วย แต่อะไรที่เป็นบทเรียนก็ต้องเก็บมาคิดสิ ประเภท แชร์เอง เขียนเอง เจ็บเอง เมื่อมีคนแย้งเจ็บๆ แล้วลบโพสต์ไปเอง แล้วจะร้องอะไร?
ทีหลังก็อย่าทำ ก็เท่านี้ ด้วยความปรารถนาดีจริง
** “ลุงตู่” แพ้ภัยตัวเอง จากการออก พ.ร.ก.ปิดปากสื่อ... “ม็อบสามกีบ” แพ้ภัยตัวเอง เพราะความเถื่อน ถ่อย
กรณีรัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อแก้ปัญหาการรแพร่ระบาดของโควิด (ฉบับ 29) ขณะเดียวกัน ก็มีข้อกำหนดที่ถูกมองว่า เป็นการลิดรอนสิทธิ เสรีภาพสื่อ นั่นคือ ข้อกำหนดที่ห้ามเผยแพร่ข้อความอันอาจทําให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว โดยมิได้จํากัดเฉพาะข้อความอันเป็นเท็จ ...พูดง่ายๆ ว่า ไม่ว่าข้อความ ภาพ เสียง ที่มีการแพร่ออกไป ไม่ว่าจะเป็นความเท็จ หรือความจริง หากเจ้าหน้าที่เห็นว่า ทำให้ประชาชนหวาดกลัว ก็จะถือว่าเป็นความผิด...
แนวทางการออกข้อกำหนดนี้ จะไปต่างอะไรกับ “มาตรา 44” ที่ “ลุงตู่” คุ้นชิน ใช้คล่องมือหลังการรัฐประหาร และการหยิบมาใช้ครั้งนี้ ก็หวังจะจัดการกับฝ่ายตรงข้ามที่ใช้สงครามข่าวสาร “เฟกนิวส์” มาดิสเครดิตรัฐบาล
แม้จะมีเสียงคัดค้านจากทั้งคนในแวดวงสื่อสารมวลชน และสังคมทั่วไป แต่ทางรัฐบาลก็ยังเฉยเมย ...จนกระทั่งมีผู้ไปร้องต่อศาลแพ่ง ว่าข้อกำหนดดังกล่าว ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน (ฉบับที่ 29) นั้น เป็นการลิดรอนสิทธิ เสรีภาพของประชาชน ที่รัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติคุ้มครองไว้ ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอน
ศาลแพ่งรับเรื่องไว้พิจารณา แล้วมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามนายกรัฐมนตรี บังคับใช้ข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 29 ที่ห้ามเสนอข่าวที่อาจทำให้หวาดกลัว จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
เมื่อมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวจากศาลแพ่ง รัฐบาลก็ชะงัก ต้องมาตั้งหลักใหม่ แม้ในทางปฏิบัติจะยังไม่ได้บังคับใช้ข้อกำหนดนั้น แก่กรณีใด หรือผู้ใดก็ตาม … หลังจากหารือกันแล้วก็ “ยอมถอย” โดย ศบค. สั่งยกเลิกข้อกำหนด ฉบับที่ 29 โดยให้มีตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค. 64
คำสั่งยกเลิกดังกล่าวมีการเผยแพร่ในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา วันที่ 10 ส.ค. ซึ่งเป็นวันเดียวกับตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้านได้นำเรื่องเดียวกันนี้ ไปยื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ให้ดำเนินการสอบสวนเอาผิดกับ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญ และเข่าข่ายความผิดอีก 3-4 กระทง เช่น 1. จำกัดสิทธิบุคคลในเรื่องเสรีภาพด้านข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 36 ของ รธน. 2. มาตรา 172 ของ พ.ร.บ.ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต 3. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบให้บุคคลเสียหาย และ 4. ประมวลจริยธรรม
กรณีนี้ แม้ “ลุงตู่” จะเซ็นคำสั่งยกเลิกไปแล้ว และผู้ที่ไปร้องศาลแพ่ง ก็ยังไม่ได้ถูกกระทำโดยคำสั่งดังกล่าว เรื่องที่ศาลแพ่งก็เป็นอันจบไป แต่เรื่องที่ ป.ป.ช. ไม่รู้จะจบไปด้วยหรือไม่ เพราะผู้ร้องไปร้องว่า นายกฯ ใช้อำนาจออกคำสั่งโดยขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้มีการออกคำสั่งไปแล้ว แม้คำสั่งนั้นจะยังไม่มีใครถูกดำเนินคดีก็ตาม ...ภาษากฎหมาย เรียกว่า ความผิดสำเร็จแล้ว
ก็ขึ้นอยู่กับ ป.ป.ช.จะพิจารณาไต่สวนเรื่องนี้ต่อไปหรือไม่ และหากพิจารณา ผลจะออกมาอย่างไร … หากพบว่ามีความผิดตามที่ร้อง ก็ต้องส่งเรื่องนี้ไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อดำเนินการต่อไป … ก็คงต้องมาลุ้นกันว่า ป.ป.ช. จะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ความจริงแล้วการจัดการกับ “เฟกนิวส์” ก็มีกฎหมายที่ดำเนินการได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาออกข้อกำหนดให้อำนาจเจ้าหน้าที่มีอำนาจตีความ เหมือน “ม.44” และที่ผ่านมา “ลุงตู่” เองก็ไม่ได้จริงจังในการจัดการกับสื่อที่ปล่อย “เฟกนิวส์” อย่างเช่น กรณี พิธีกรช่อง 3 ที่ร่วมมือกับ “หมอ” ภาคธุรกิจเอกชน ปั่นหุ้น จากวัคซีนโมเดอร์นา-ไฟเซอร์ สุดท้ายก็ไม่เห็น “ลุงตู่” จะออกแอกชัน จัดการอะไร
การออก พ.ร.ก.ปิดปากสื่อ แล้วสุดท้ายก็ต้องตีธงถอยในครั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นเป็นการแพ้ภัยตัวเอง ของ “ซิงเกิล คอมมานด์” ก็แล้วกัน...
ขณะเดียวกัน เมื่อหันไปมอง “ม็อบสามกีบ” ที่ใช้สถานการณ์ในช่วงที่รัฐบาลซวนเซ จากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด และปัญหาวัคซีน เร่งโหมชุมนุมหวังเผด็จศึกลุงตู่ แต่ก็ต้องแพ้ภัยตัวเอง เพราะไม่ได้เป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ
ดังเช่น การชุมนุมเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา ที่ต้องใช้คำว่า “ถ่อย เถื่อน” มีทั้งปะทะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยิงหนังสติ๊ก อาวุธปืน ขว้างระเบิดเพลิง ระเบิดปิงปอง เผารถตำรวจ พ่นสีด้วยข้อความหยาบคาย ลบหลู่ “วีรชนของชาติ” ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ล่าสุด วันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา “คาร์ม็อบ” ของพวกสามกีบ ก็ป่วนเมืองอีกรอบ มีการเคลื่อนขบวนรถไปที่หน้า ตึก ซิโน-ไทย ทาวเวอร์ ซึ่งเป็นบริษัทในตระกูลของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข นำเลือดหมูไปสาดบริเวณป้ายอาคาร... จากนั้นเคลื่อนขบวนไปที่บริเวณ บ้านพักของ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ย่านถนนพระราม 9 และยังไปที่ “คิง เพาเวอร์” ซอยรางน้ำ ด้วย โดยอ้างว่า กลุ่มธุรกิจเหล่านี้ให้การสนับสนุนรัฐบาล ... มีการปะทะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งระบิดเพลิง ระเบิดปิงปอง อาวุธปืน เผาป้อมตำรวจที่แยกดินแดง และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
กลุ่ม “ม็อบสามกีบ” ที่นับวันยิ่งใช้ความรุนแรง ซึ่งแม้แต่ “สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” ซึ่งถือว่าเป็นศาสดาของกลุ่มนี้ ยังต้องออกปากว่า การเคลื่อนไหวด้วยความรุนแรงเช่นนี้ จะสร้างแนนวร่วมยาก ไม่มีทางชนะ
เรียกว่า ม็อบสามกีบก็กำลังแพ้ภัยตัวเอง จากพฤติกรรมใช้ความรุนแรง เถื่อนถ่อย