ข่าวปนคน คนปนข่าว
** “ลุงป๊อก” ว่าไง? คนปัตตานีลุกฮือต้านมหาดไทยใจดำ ชอบส่ง “ผู้ว่าฯใกล้หมดอายุ” มาให้ทุกปี
เป็นเรื่องที่แชร์สนั่นในโลกโซเชียล หลังจากมีชาวปัตตานีนำแผ่นป้ายไวนิลขนาดใหญ่ ติดตามจุดสำคัญทั่วเมือง เขียนข้อความไม่พอใจกับการแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ที่ ครม.เพิ่งอนุมัติตามที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เสนอไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
เช่น... ปัตตานีไม่ใช่ที่ให้คนมาเกษียณ เห็นจังหวัดเราเป็นอะไร ปัตตานีไม่เอาผู้ว่าฯปีเดียว ส่งผู้ว่าฯให้มาเกษียณที่ปัตตานี อย่าดูถูกคนปัตตานี คนปัตตานีก็เสียภาษี แต่ส่งของใกล้หมดอายุมาเป็นผู้ว่าฯทุกปี มหาดไทยใจดำ …
เรื่องนี้ ตามที่ “ลุงป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ชง ครม.อนุมัติในส่วนจังหวัดปัตตานีนั้น ได้โยกย้าย “นิพันธ์ บุญหลวง” จากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน มารับตำแหน่งแทน “ราชิต สุดพุ่ม” คนปัจจุบัน ที่เตรียมจะเกษียณอายุในเดือนตุลาคมนี้ ดูๆ ก็เหมือนจะไม่มีอะไร
สำหรับ “นิพันธ์ บุญหลวง” ตามประวัติ เป็นคนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จบปริญญาตรี ศิลปศาสตร์บัณฑิต (รัฐศาสตร์) เกียรตินิยมอันดับสอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง แล้วไปต่อโท รัฐศาสตรมหาบัณฑิต (การปกครอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประวัติรับราชการ เคยเป็น นายอำเภอขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน นายอำเภอดอกคำใต้ จ.พะเยา
นายอำเภอเมืองพะเยา จ.พะเยา ปลัดจังหวัดแม่ฮ่องสอน
ปี 2558 ขึ้นเป็น รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ปีต่อมาย้ายมาเป็น รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่
ปี 2561 เป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย และ 1 ต.ค. 63 ได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน
ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า อายุราชการของ “ผู้ว่าฯนิพันธ์” เหลืออีก 1 ปี สำหรับการทำงานให้กับจังหวัดปัตตานี พอเช็กขึ้นไปก็เหมือนกับกรณีของผู้ว่าฯปัตตานีหลายๆ คนที่ผ่านมา รวมถึงคนปัจจุบัน “ราชิต สุดพุ่ม” คือ มารับตำแหน่ง 1 ปี แล้วก็รอเกษียณ
ว่ากันว่า ชาวปัตตานีรับไม่ได้ ต่อการโยกย้ายของมหาดไทยที่ชอบย้ายผู้ว่าฯ ที่ใกล้หมดอายุ หมดไฟ แล้วให้มารอเกษียณที่ปัตตานี
เพจสื่อของปัตตานีได้สะท้อนปรากฏการณ์นี้ว่า ที่คนปัตตานีเริ่มเคลื่อนไหว เพราะเขารู้ปัญหาจริงๆ ที่เกิดขึ้น คุณจะห้ามพวกเขาไม่ได้ ถ้าไม่มาทำงาน ก็อย่ามาเสียดีกว่า
ขณะที่ ความเคลื่อนไหวไม่พอใจของประชาชนในพื้นที่ ได้แพร่กระจายไปตามโซเชียลอย่างแพร่หลาย และ มีการแชร์ออกไปต่อๆ กัน พร้อมทั้งมีการแสดงความคิดเห็นไม่พอใจกันเป็นจำนวนมาก ทำให้กระแสต่อต้านไม่เอาผู้ว่าฯ รอปลดเกษียณเพิ่มมากขึ้น
คนปัตตานีหลายคนมองว่า มหาดไทยคงคิดว่า ปัตตานีบ้านเราไม่มีอะไร จึงส่งผู้ว่าฯ มาแค่รอเกษียณอายุราชการ ทั้งๆ ที่ปัตตานีมีเรื่องที่ต้องปรับปรุงเยอะ ประชาชนอยากเห็นผู้ว่าฯ ลงมาสัมผัสพื้นที่บ้าง ยิ่ง ปัตตานี มีปัญหาทั้งอยู่ในโซนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้รับผลกระทบจากภัยความไม่สงบ และ วิกฤตโควิด อย่างน้อยๆ ผู้ว่าฯที่เหลืออายุทำงานต้องให้อยู่ 2 ปีขึ้นไป เพราะจะได้สัมผัสใกล้ชิดชาวบ้านได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้ามาอยู่แค่ 1 ปี ก็ไม่ได้พัฒนาอะไรมากมาย เพราะบ้านเรามีวัฒนธรรมหลากหลาย ซึ่งอยากให้คนที่ศึกษามาก่อน และรู้จริงเข้ามาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี
ว่ากันตามจริง มหาดไทย ใจดำจริงๆ นั่นแหละ เสียงของประชาชนมาขนาดนี้แล้ว งานนี้ “ลุงป๊อก” จะว่าไง ?
** มันจบแล้ว! ม็อบ 7 สิงหา ถ่อยเถื่อนแถ สามนิ้วด้วยกันยังไม่เอา “ศาสดาสมศักดิ์” ฟันธง ชุมนุมแบบนี้ไม่มีวันชนะ
ผ่านไปด้วยใจระทึก “ม็อบสามนิ้ว” ที่เลือกเอาวันที่ 7 สิงหาฯ ที่ผ่านมา เป็นวันชุมนุมใหญ่ขับไล่ “รัฐบาลประยุทธ์” และตีกระทบไปถึงสถาบันเบื้องสูง โดยรอบนี้มีกลุ่มเยาวชนปลดแอก และ REDEM เป็นกลุ่มนำ แต่ไม่มีตัวบุคคลเป็นแกนนำชัดเจน และเลือกเอาวัน “เสียงปืนแตก” ที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ลั่นกระสุนนัดแรกสู้กับอำนาจรัฐ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2508 เป็นสัญลักษณ์ ปลุกบรรดาสาวกสามนิ้วทั่วประเทศให้ออกมาแสดงพลังกันมืดฟ้ามัวดิน เพื่อบรรลุเป้าหมายให้ได้
ทีแรกขบวนการสามนิ้วดูเหมือนจะมั่นใจสุดๆ ว่า งานนี้ “ลุงตู่” ไม่รอดแน่ๆ เพราะช่วงนี้รัฐบาลกำลังซวนเซอย่างหนัก ที่ไม่สามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ลงได้ ไม่ว่าจะออกมาตรการอะไรมา ทั้งล็อกดาวน์ เคอร์ฟิวก็แล้ว จำนวนผู้ติดเชื้อ-จำนวนคนตาย ก็มีแต่สูงขึ้นๆ ส่วนวัคซีนก็ยังมาแบบกระปริดกระปรอย ยังห่างเป้าหมายฉีดให้ได้ 100 ล้านโดส ภายในปี 64 อย่างที่โม้เอาไว้
ขบวนการสามนิ้วจึงฮึกเหิมได้ใจ มั่นใจว่า สถานการณ์แบบนี้ “รัฐบาลบิ๊กตู่” ไม่รอดแน่ๆ เพราะเชื่อมั่นว่า ถึงวันนี้ผู้คนที่ไม่เอา “3 ลุง” มันกระจายออกไปทุกหย่อมหญ้าทั่วประเทศแล้ว “อานนท์ นำภา” แกนนำกลุ่มราษฎร ถึงขั้นโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ต้องจบในสิงหานี้แน่ๆ
แต่พอใกล้ถึงวันจริงๆ แนวร่วมหลายกลุ่มที่คิดว่าจะมาร่วมด้วยช่วยกัน ก็ประกาศจุดยืนจะไม่เข้าร่วม หลังจากเห็นเป้าหมายที่จะไปป่วนหน้าพระบรมมหาราชวัง ทั้ง “ณัฐวุฒิ ใสยแกื้อ” แกนนำ นปช. “วรชัย เหมะ” แกนนำเสื้อแดงสมุทรปราการ และ “จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำกลุ่มคนไทยไม่ทน
เมื่อถึงวันจริงๆ แค่เป้าหมายจะไปยังหน้าพระบรมมหาราชวัง ก็กินแห้วเสียแล้ว เมื่อเจอกับแนวตู้คอนเทนเนอร์พร้อมตู้รถไฟบรรทุกน้ำมันขวางกั้นอย่างแน่นหนา ที่นัดกันไว้ว่าจะรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แล้วเคลื่อนขบวนตอนบ่าย 2 โมง ก็ต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปยังทำเนียบรัฐบาลแทน โดยเพจเยาวชนปลดแอกฯ ต้องโพสต์แจ้งมวลชนก่อนเคลื่อนขบวนราว 1 ชั่วโมง พร้อมแก้เก้อว่า นี่เป็น “แกงหม้อใหญ่”
แต่พอจะไปทำเนียบฯ ก็เจอกำแพงตู้คอนเทนเนอร์ปิดกั้นเส้นทางถนนพิษณุโลก บริเวณหน้าโรงเรียนราชวินิตมัธยมอีก เมื่อขบวนม็อบไปได้ถึงแยกนางเลิ้ง เพจเยาวชนปลดแอกฯ ก็ต้องแจ้งเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ ให้ไปรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อเคลื่อนขบวนไปยัง “ราบ 1” ถนนวิภาวดีรังสิต ที่ตั้งบ้านพักของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี
แล้วเหตุการณ์ก็เข้าอีหรอบเดิม พอเคลื่อนขบวนออกจากอนุสาวรีย์ชัยฯ ไปถึงสามเหลี่ยมดินแดง ก็เจอกับแนวของตำรวจควบคุมฝูงชน พร้อมอุปกรณ์สลายม็อบครบมือ ทั้งแก๊สน้ำตา กระสุนยาง รถฉีดน้ำ รวมทั้งแนวตู้คอนเทนเนอร์ขวาง แค่จะเข้าสู่ถนนวิภาวดีฯ ก็ไม่มีสิทธิแล้ว
เมื่อเจอสิ่งกีดขวาง แนวหน้าของม็อบก็พยายามเข้าไปรื้อตู้คอนเทนเนอร์ เจ้าหน้าที่ประกาศให้ถอยออกมาก็ไม่ยอม ด้วยเลือดวัยรุ่นที่สูบฉีดแรง ร่างกายพร้อมปะทะ อุปกรณ์ที่เตรียมมาก็ถูกงัดออกมาสู้กับเจ้าหน้าที่ทันที ทั้งหนังสติ๊กยิงลูกเหล็ก ลูกแก้ว ก้อนหิน ระเบิดขวด ระเบิดควัน ไปจนถึงน้ำปลาร้า มะเขือเทศ แต่จำนวนม็อบที่มากันน้อยผิดคาด จึงสู้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง และรถฉีดน้ำของตำรวจไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องล่าถอยกลับอนุสาวรีย์ชัยฯ และประกาศยุติชุมนุมตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน
แต่ก่อนเลิกชุมนุม ก็ฝากผลงานการจลาจลย่อยๆ เอาไว้ ทั้งทุบป้อมตำรวจ ขว้างระเบิดเพลิง เผารถควบคุมผู้ต้องหาของตำรวจ วอดไป 1 คัน ซ้ำยังมีมือปืนไม่ทราบฝ่าย ยิงกระสุนหัวนอตด้วยอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ใส่ตำรวจควบคุมฝูงชนเข้าที่คอบาดเจ็บ 1 นาย โชคดีที่นำส่งไอซียู ผ่าตัดกระสุนออกทัน จนอาการปลอดภัยแล้ว
เท่านั้นยังไม่พอ ตกช่วงกลางคืน หลังแกนนำประกาศยุติชุมนุมไปแล้ว ยังมีม็อบบางส่วนไปทุบทำลายและรื้อถอนป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนได้รับความเสียหาย
อีกใบเสร็จที่เป็นหลักฐานมัดตัว “ม็อบ 7 สิงหา” ว่าไม่ใช่ม็อบสันติวิธีอย่างที่แกนนำพยายามเอ่ยอ้าง ก็คือ วิดีโอคลิปตอนที่ผู้ชุมนุมรายหนึ่ง ขว้างระเบิดเพลิงใส่ตำรวจ แล้วมีน้ำมันที่ติดไฟแล้วกระเด็นออกมาจนไฟไหม้กระเป๋าสะพายของคนขว้างนั่นแหละ
จากหลักฐานที่เห็นมากมายก่ายกอง มันก็ยืนยันได้ว่า “ม็อบ 7 สิงหา” เป็นม็อบรุนแรง เพจเยาวชนปลดแอก เอง ก็ยังหลุดโพสต์คลิปเผารถ พร้อมข้อความว่า “ประชาชนโต้กลับ เผารถตำรวจจนสิ้นซาก” แสดงความสะใจที่ม็อบเอาคืนตำรวจบ้าง แต่เมื่อโดนตำหนิ เพราะทำให้ภาพลักษณ์ของขบวนการสามนิ้วเสียหาย ก็เลยต้องรีบแก้ไขข้อความเป็น “ยังไม่ทราบฝ่ายไหนกระทำ”
แต่จะแก้ตัวยังไง มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า “ม็อบ 7 สิงหา” ไม่ได้มามือเปล่า หรือมีแต่ความคิดสร้างสรรค์เป็นอาวุธ อย่างที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” พยายามพูดให้ท้าย
เมื่อประกอบการเปลี่ยนเป้าหมายการชุมนุมอย่างกะทันหันหลายครั้ง จนมวลชนปรับอารมณ์ตามไม่ทัน และเนื้อหาสาระของข้อเรียกร้องในการชุมนุมก็ไม่ถูกนำเสนอสู่สังคม ม็อบครั้งนี้ จึงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แล้ว แฮชแท็ก #แบนfreeyouth ก็เต็มทวิตเตอร์ ในช่วงเย็นวันที่ 7 สิงหา นั่นเอง
คนที่ตอกย้ำความล้มเหลวของ ม็อบ 7 สิงหา ได้หนักแน่นกว่าใคร ก็ต้องเป็น “สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” ผู้ต้องหาคดี ม.112 ที่หลบหนีไปอยู่ประเทศฝรั่งเศส และเป็นผู้นำทางความคิดของขบวนการสามนิ้ว ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงการชุมนุมครั้งนี้ ว่า “ไม่ว่าเราจะประเมินอย่างไร (และมีความเป็นไปได้ ที่จะประเมินจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ตามแต่รสนิยม) การชุมนุมแบบ Redem นี้ ยากจะปฏิเสธว่า คงไม่อาจนำมาซึ่งชัยชนะได้ จะว่าไปแล้ว การชุมนุมแบบที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า (ถ้าไม่เลิกเสียก่อน) ก็ไม่อาจจะประสบความสำเร็จเช่นกัน”
และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “ศาสดาสมศักดิ์” โพสต์เตือนการชุมนุมแบบไร้แกนนำ ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 64 หลังจากกลุ่ม REDEM จัดม็อบไปหน้าราบ 1 แล้วใช้ความรุนแรงปะทะกับเจ้าหน้าที่ “สมศักดิ์ เจียมฯ” ก็ได้โพสต์ว่า “การจัดชุมนุมโดย “ไม่มีแกนนำ” ไม่ใช่ไอเดียที่ดี ผมคิดว่าควรเลิกชุมนุม กลับบ้าน แล้วค่อยว่ากันใหม่ดีกว่า”
ก็ไม่รู้ว่า เยาวชนปลดแอก และ กลุ่ม REDEM จะเชื่อฟัง “ศาสดาสมศักดิ์” หยุดชุมนุม พอแค่นี้ หรือยังจะดันทุรังเดินหน้าจัดม็อบแบบนี้ต่อ