ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ไฟเซอร์จริง ดีลจบมา Q4 แต่ไฟเซอร์ทิพย์ ปั่นหุ้น “หมอบุญ” ถึงมือ ก.ล.ต.แล้ว ไหนๆ ก็ไหนๆ ฝากพ่วงสื่อขาใหญ่ ช่อง 3 “สรยุทธ-ไก่ ภาษิต” ที่ร่วมด้วยช่วยปั่นข่าวด้วยเลยทีเดียว
ว่าด้วยการจัดหาวัคซีน mRNA ยี่ห้อไฟเซอร์ เพื่อเข้ามาเสริมวัคซีนหลัก มีข่าวว่า รัฐบาลปิดดีล 20 ล้านโดส เป็นที่เรียบร้อย โดยบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และ ไบออนเทค ได้ประกาศลงนามสัญญาร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ในการจัดส่งวัคซีนให้กับประเทศไทย โดยมีแผนกำหนดการส่งมอบในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
เป็นอันว่า จบกันไปสำหรับวัคซีนของจริง แต่สำหรับ “ไฟเซอร์ทิพย์” ที่ “หมอบุญ” นพ.บุญ วนาสิน ประธานกลุ่มธนบุรี เฮลท์แคร์ ที่ออกมาสร้างกระแสว่า จะนำเข้ามาเองก่อนหน้านี้ ยังไร้วี่แวว
ที่แน่ๆ ท่ามกลางความสงสัยที่ว่า การออกมาป่าวประกาศ “ไฟเซอร์ทิพย์” ของหมอบุญนั้นเป็นเรื่องปั่นข่าวเพื่อปั่นหุ้นหรือไม่ ?
งานนี้ถึงมือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก่อนวัคซีนจะมาเรียบร้อยเช่นกัน เมื่อ “พี่ศรี” ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จัดการ ยื่นคำร้องต่อเลขาธิการ ก.ล.ต. เพื่อให้ตรวจสอบ และบังคับใช้กฎหมายกรณีการออกมาให้ข่าวของ นพ.บุญ วนาสิน “วัคซีนทิพย์” เพื่อหวังผลสร้างกระแสความนิยมในหุ้นของบริษัท หรือไม่
เหตุเพราะ “นพ.บุญ” ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า จะลงนามจัดซื้อได้ภายในเย็นวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไป ไม่มีคำตอบใดๆ ให้กับสังคม
ในทางกลับกัน สื่อมวลชนหลายแขนงได้รายงานข่าวว่า “หมอบุญ” เตรียมเซ็นสัญญาซื้อวัคซีน ราคาหุ้นของธนบุรีเฮลท์แคร์กรุ๊ป จากราคา 29.75 บาท พุ่งขึ้นถึง 33.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 12.61% เลยทีเดียว
ขณะที่สื่อต่างประเทศได้รายงานว่า การออกมาให้ข่าวดีลการซื้อวัคซีนดังกล่าว ช่วยให้ราคาหุ้นของเครือธนบุรีเฮลท์แคร์กรุ๊ป ดีดตัวขึ้น และมีมูลค่าด้านการตลาดเพิ่มขึ้นราว 1,500 ล้านบาท
บทสรุปของการดีลเจรจาซื้อวัคซีนทางเลือกของ “นพ.บุญ” ยังไม่มีใครทราบว่าจะออกมาทางใด แต่ที่แน่ๆ การออกมาให้ข่าวอย่างต่อเนื่องดังกล่าว เป็นพฤติการณ์ที่น่าสงสัยว่าเป็นการสร้างกระแสความนิยมในหุ้นของบริษัทในเครือของตัวเอง หรือไม่ ทั้งที่กฎหมายห้ามมิให้บุคคลใดบอกกล่าวเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ ฯลฯ ซึ่งมีโทษหนักทั้งทางอาญา และหรือทางแพ่ง คือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับตั้งแต่ 1 ล้านถึง 5 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม ม.240 ม.242 ม.243 ประกอบ ม.296 วรรคสอง แห่งพ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เรื่องนี้ไหนๆ ก็ไหนๆ อยากจะฝากถึง ก.ล.ต. สอบกระบวนการร่วมด้วยช่วยปั่นหุ้นของหมอบุญไปด้วยเลยทีเดียว โดยเฉพาะรายการข่าวขาใหญ่ของ ช่อง 3 อย่างตระกูล “เรื่องเล่า-เรื่องเด่น” ที่มี “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” และ “ไก่-ภาษิต อภิญญาวาท” เป็นพิธีกร ทั้งเปิดเรื่อง สัมภาษณ์หมอบุญ แก้ต่าง-โต้กลับ แทบจะเป็น “ไอโอ” ให้หมอบุญใช้เป็นแหล่งกระพือวัคซีนทิพย์ ตั้งแต่ โมเดอร์น่า มาถึง ไฟเซอร์ทิพย์
แม้ถึงวันนี้ในวันที่การสั่งซื้อวัคซีนทิพย์ของ “หมอบุญ” น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว รัฐบาลปิดดีลสำเร็จ ช่อง 3 โดยพิธีกรดัง ก็ออกมาทำหน้าที่สัมภาษณ์หมอบุญ บอกว่า ความคืบหน้าการนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ ยังคงยืนยันให้หมอบุญว่า การจัดส่งวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 20 ล้านโดส ยังเป็นไปตามที่มีข่าวออกมา พร้อมย้ำว่า ให้อดทนรอฟังข่าวดี ภายใน 1-2 วันนี้ จะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ (อีกแล้ว)
เรียกว่า “หมอบุญ” ได้ “สรยุทธ และ ไก่-ภาษิต” หนุนส่งกันเต็มกำลัง เลี้ยงกระแส “ไฟเซอร์ทิพย์” ไปด้วยกันอย่างถึงที่สุด
งานนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับการตรวจสอบของ ก.ล.ต. แล้วละว่าจะออกมาว่าอย่างไร
ต้องไม่ลืมว่า เรื่องนี้อยู่ในความสนใจของสังคม ทั้งกลุ่มประชาชนที่จองซื้อวัคซีน และเชื่อได้ว่า นักลงทุนในตลาดหุ้นก็รอเงี่ยหูฟังใครจะปกป้องจากความเสียหายที่มีสิทธิ์เกิดจากกระบวนการสร้างข่าว “วัคซีนทิพย์” ปั่นราคาหุ้นได้บ้างหรือไม่..
โปรดติดตามกันต่อไป...นั่นละฮะ...ท่านผู้ชมฮะ!
** “สิระ” ลงโลงซ้อมตาย ปกป้อง “ลุงซิงเกิล คอมมานด์” ที่บริหารจัดการโควิดผิดพลาด ระวังการชิงดี ชิงเด่น จนไม่เห็นความเจ็บช้ำของประชาชน จะพารัฐบาลตายยกโขยง
ในสถานการณ์โควิดระบาด ตัวเลขคนป่วย คนตายพุ่งสูง ทำ “นิวไฮ” วันแล้ววันเล่า โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ครองแชมป์ทุกวัน
คนกรุงที่อยู่ใกล้ข้อมูลข่าวสาร ย่อมรู้ว่า ที่สถานการณ์เดินมาถึงจุดนี้ เพราะการบริหารงานแบบ “ซิงเกิล คอมมานด์” ของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มักเอาเรื่องการเมือง เรื่องความมั่นคง นำหน้าการสาธารณสุข มีการชิงดีชิงเด่นกันในพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล
ทัวร์จึงไปลงที่ “ลุงตู่” หนักขึ้นทุกวัน … “สิระ เจนจาคะ” ส.ส.พลังประชารัฐ ต้องงัดมุก ลงโลง “ซ้อมตาย” โดยบอกว่าสถานการณ์ตอนนี้ ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงการรักษาของระบบสาธารณสุขได้เลย ผู้ติดเชื้อจำนวนมากต้องนอนรอความตายอยู่ที่บ้าน ยาฟาวิพาราเวียร์ ก็ไม่ได้กิน ตนเองที่เคยจัดถุงยังชีพ ช่วยเหลือประชาชน ตอนนี้ต้องรวบรวมเงินมาซื้อโลงศพไว้แจกให้กับประชาชนแทน
“สิระ” พยายามบอกว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะการบริหารด้านสาธารณสุขล้มเหลว คุมการระบาดในพื้นที่ กทม.ไม่ได้ ...พร้อมชี้เปรี้ยงว่า คนที่ต้องรับผิดชอบคือ “นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์” อธิบดีกรมควบคุมโรค และ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล เจ้ากระทรวงสาธารณสุข ต้องรีบเปลี่ยนตัวอธิบดีกรมควบคุมโรคโดยด่วน
...เป็นการออกมาปกป้อง “ลุงตู่” ขณะเดียวกัน ก็โยนความผิดไปที่ “หมอหนู” ที่กำกับดูแลด้านสาธารณสุข
เรื่องนี้ “บังซุป” นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย เห็นแล้วทนไม่ได้ ...ต้องงัดเอา คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 6/2564 เรื่อง จัดตั้งศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 5 พ.ค. 64 มายืนยันว่า การบริหารจัดการโควิดในกรุงเทพฯ ที่เละเทะอยู่ทุกวันนี้ คนที่ต้องรับผิดชอบคือ... “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ออกคำสั่งดังกล่าว โดยมี นายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการศูนย์ มีเลขาสภาความมั่นคงฯ “พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์” มี ผู้ว่าฯ กทม. “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” และปลัดกระทรวงหลายกระทรวง เป็นรองผู้อำนวยการ มีอธิบดีจากสาธารณสุข มาเป็นกรรมการ ...แต่ไม่มีชื่อ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รมว.สาธารณสุข อยู่ในคณะกรรมการชุดนี้
เมื่อดูโครงสร้าง อำนาจ หน้าที่ ของคณะกรรมการชุดนี้ จะเห็นว่า “ครอบจักรวาลทั่วฟ้า กทม.” แต่ก็ยังทำงานกัน “ล้มเหลว” จนประชาชนตายคาบ้าน อย่างที่เห็น และคนถูกด่าก็คือกระทรวงสาธารณสุข ด่า “อนุทิน” ทั้งที่ไม่มีหน้าที่ไม่มีอำนาจตามคำสั่งนั้น
ที่สำคัญคือ กทม.ไม่ได้อยู่ในการกำกับดูแลของกระทรวงสาธารณสุข... แต่เป็น “ผู้ว่าฯ อัศวิน” คน กทม. ตายมากที่สุด ติดเชื้อมากที่สุด เพราะใคร ?
“บังซุป” ชี้ให้เห็นกันชัดๆ ว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่นายกฯกับ ศบค. และ กทม. โดยตัดกระทรวงสาธารณสุข ออกจากการแก้ปัญหาโควิด ใน กทม.
แน่นอนว่า การแก้ปัญหาในรายละเอียดไม่ควรจะเป็นหน้าที่ของนายกฯ แต่ควรเป็นเรื่องของ “ผู้ว่าฯอั ศวิน” แต่ถามว่าวันนี้ ผู้ว่าฯ กทม.หายไปไหน แก้ปัญหาได้ทันท่วงทีหรือไม่ ... กทม. มีโรงพยาบาลอยู่ในความดูแลของตัวเอง ทำไมปล่อยให้คนไปนอนรอหน้าวัดพระศรีฯ แบบน่าอนาถใจ...
สธ.พยายามคุมเชื้อเต็มที่ แต่วันหนึ่ง นโยบาย ศบค.ซึ่งรับผิดชอบโดย เลขาฯสภาความมั่นคงแห่งชาติ ก็ไล่คนกลับไปต่างจังหวัด ด้วยการปิดแคมป์คนงาน ปิดร้านอาหาร คนจากชนบทที่มาหากินในเมืองต้องกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัด ก็เอาเชื้อไปแพร่ที่ต่างจังหวัด กระจายทั่วประเทศ จนคุมไม่ได้
เรื่องการฉีดวัคซีน สธ. เสนอให้ฉีด คนแก่ คนป่วยก่อน แต่ กทม.เอาไปฉีดให้คนไม่แก่ ไม่ป่วย รัฐบาลเอาไปฉีดแรงงานในระบบประกันสังคม ผลคือคนแก่ คนป่วย ตายเยอะมาก ...ที่เป็นเช่นนี้ เพราะคิดแต่จะเล่นการเมือง จะหาเสียงกับโควิด และวัคซีน แต่สุดท้ายเอาไม่อยู่ ทำให้ กทม. เป็นรังของโรค เป็นศูนย์กลางการระบาดของประเทศไทย
ถึงขั้นนี้แล้วผู้บริหาร กทม. ยังกีดกันไม่ให้ กระทรวงสาธารณสุข เข้าไปทำงานในพื้นที่ กทม. ขนาดการตั้งโรงพยาบาลบุษราคัม เพื่อช่วยเหลือคน กทม. ยังต้องมาตั้งที่ เมืองทองธานี ในพื้นที่ จ.นนทบุรี
ปัญหาโควิดเมืองกรุง ที่ทำประชาชนหวาดผวาทุกเช้าค่ำ แต่ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบต่างโยนความผิดกันไปมา... และข้อมูล ข้อผิดพลาดเหล่านี้ จะถูกฝ่ายค้านรวบรวม นำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างแน่นอน
เมื่อถึงวันนั้นหากยังไม่สามารถขจัดความขัดแย้งภายใน ยังขัดแข้งขัดขา จนแก้ปัญหาโควิดไม่ได้ ประชาชนหมดสิ้นความหวัง ความศรัทธากับรัฐบาล... เมื่อนั้น “ลุงซิงเกิล คอมมานด์” อาจนำขบวนชักแถวตายหมู่ !!