เมืองไทย 360 องศา
ก็ต้องบอกว่า “ม็อบสามนิ้ว” ที่พยายามเคลื่อนไหวสร้างกระแสในทุกสัปดาห์ จนมาถึงล่าสุดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา ที่คราวนี้มาแบบเอาเท่ ตามเหตุการณ์ที่เรียกว่า “วันเสียงปืนแตก” ซึ่งก็ยังไม่แน่ใจว่า พวกเด็กๆ พวกนี้จะซึมซับเหตุการณ์ในอดีตแบบนี้หรือไม่ เพราะหากพิจารณาตามสภาพที่เห็นมัน “ย้อนแย้ง” กันแบบตรงกันข้าม
หากย้อนกลับไปมองเหตุการณ์วันเสียงปืนแตก เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมปี 2508 ที่บ้านนาบัว อ.เรณูนคร จ.นครพนม เป็นเหตุการณ์ที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เริ่มโจมตีทางการด้วยอาวุธเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นสงครามความเชื่อ ต่างอุดมการณ์ ที่สำคัญนั่นคือ การเคลื่อนไหวของ “พรรคคอมมิวนิสต์” ที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ครองอำนาจในประเทศจีนมาจนถึงทุกวันนี้นั่นแหละ อ้อที่ต้องไม่ลืมก็คือเป็นประเทศที่ผลิตวัคซีนยี่ห้อที่ถูกพวก “หัวโจกสามนิ้ว” และพวกร่วมแนวทางเดียวกันหยามเหยียด “ด้อยค่า” ว่าเป็น วัคซีน “เสินเจิ้น” นั่นแหละ
ขณะเดียวกัน “สามนิ้ว” ในปัจจุบันกลับไปยกย่อง สหรัฐอเมริกา ที่ถูกประณามจากทั่วโลกว่า เป็น “จักรวรรดินิยม” เป็นพวก “กฎุมพี” กินแรงแบ่งชนชั้น ขูดรีด ซึ่งไม่รู้ว่าเด็กแกนนำรุ่นใหม่เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้บ้างหรือเปล่า เพราะการเคลื่อนไหวในทุกวันนี้ กลายเป็นว่า “อวยตะวันตก” หรือ “เชิดชูอเมริกา” เป็นเทพ ที่สวนทางกับนักศึกษา และเยาวชนในอดีตในยุคเดือนตุลาคมเมื่อหลายสิบปีก่อน
อย่างไรก็ดี มันก็ไม่น่าแปลกใจหากเข้าใจว่า คนอย่าง นายธนาธร จึงรุ่งรืองกิจ ที่เข้าใจว่า สนับสนุนม็อบสามนิ้วมานาน แม้จะไม่รู้ว่าแนวความคิดของเขาเป็นแบบไหนกันแน่ แต่รู้ว่ามีทัศนคติที่เป็นลบกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาตลอด
ขณะที่ครอบครัวของเขา ก็ถือว่าเป็น “ทุนใหญ่” กลุ่มหนึ่ง และแม้จะเคยมีข่าวอื้อฉาวเรื่อง “กดขี่แรงงาน” เมื่อหลายปีก่อน รวมไปถึงเรื่องการ “รุกป่าสงวน” นับพันไร่ หรือแม้แต่ความพยายามเคลื่อนไหวใต้โต๊ะ เพื่อให้ได้เช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็ตาม ที่มันขัดแย้งกับภาพที่ต้องการสื่อออกมาในเรื่องการ “ต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม”
หรือกรณีของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล จากนักวิชาการด้านกฎหมาย หันเหมาสู่สนามการเมืองก็ไม่ได้แตกต่างกัน มีแนวทางและเป้าหมายเดียวกัน คือ สร้างผลกระทบกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ชื่นชมแนวทาง “ปฏิวัติฝรั่งเศส” ที่หลายคนมองว่ามัน “ตกยุค” ไม่ได้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน ที่สถาบันฯเริ่มมีการปรับตัวให้ใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้นในแบบไม่เคยเห็นมาก่อน
คำว่า “ในหลวงสู้ๆ” หรือการเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ในแบบใกล้ชิด เชื่อว่า หลายคนเพิ่งจะได้ยิน และได้เห็นภาพแบบนี้เป็นครั้งแรก และยังมีการพระราชทานช่วยเหลืออุปกรณ์ทางการแพทย์ ตั้งโรงครัวแบบร่วมทุกข์ขณะที่เกิดภัยพิบัติ ขณะที่ภาพของการปฏิวัติฝรั่งเศสในยุคอดีต ทุกอย่างมันต่างกันแบบคนละเรื่อง และที่สำคัญ สถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย ยังเป็นที่รักและเชิดชูของคนไทยจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบกับฝ่ายที่เคลื่อนไหว “ไม่เอาสถาบันฯ” ทั้งระดับแกนนำ รวมไปถึงผู้ที่ “ชักใย” อยู่เบื้องหลัง ยังถือว่าไม่มีเครดิตที่ดีพอ หรือหากจะบอกว่าบางคนเป็น “ไอดอล” ของพวกเครือข่ายสามนิ้วที่เป็นเยาวชน นักศึกษา ก็อาจจะจริง แต่ไม่ใช่ในระดับวงกว้าง ในแบบที่เป็น “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” ที่เป็นผู้นำการปฏิวัติในบางประเทศ มิหนำซ้ำ บางคนที่หลบหนีคดีในต่างประเทศ ยังไม่ได้ใจคนไทยส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธุ์ ที่แม้ว่าจะพยายามเผยแพร่แนวคิด ชี้นำ แต่เขาก็ได้รับความนิยมในวงจำกัด และหากพิจารณากันแบบรวบรัดเท่าที่เห็นพวกเขาก็ไม่พร้อมที่จะเปิดตัวมานำขบวนอย่างเต็มตัว
เมื่อวกกลับมาที่ “ม็อบสามนิ้ว” ที่เคลื่อนไหวกันล่าสุดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะใช้วันครบรอบ “เสียงปืนแตก” ในอดีตหรือไม่ ถ้าใช่ ถือว่าย้อนแย้งกันแบบ “สุดมั่ว” เพราะนั่นมันเป็นการต่อสู้ของอุดมการณ์ “ซ้ายกับขวา” สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ที่มีจีนเป็นผู้นำกับทุนนิยมผูกขาดมีจักรวรรดินิยมอเมริกาเป็นผู้อยู่ข้างหลัง แต่มาวันนี้พวกที่ชู “สามนิ้ว” กลับกลายเป็นเชิดชูจักรวรรดินิยมอเมริกาเป็น “เทพ” ทำให้หลายคนรู้สึกสับสน ว่าต้องการแบบไหนกันแน่
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากแนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มม็อบสามนิ้ว ที่ไม่ว่าจะมาในชื่อ “เยาวชนปลดแอก” หรือชื่อใดก็ตาม แต่การเคลื่อนไหวที่มีเป้าหมายพุ่งไปที่ “สถาบันพระมหากษัตริย์” หรือการปล่อยข่าวว่าจะ “บุกพระบรมมหาราชวัง” มันถือว่า “ไม่รู้กาลเทศะ” อย่างยิ่ง อีกทั้งถือว่า “เล่นใหญ่” เกินตัวไปไกลมาก
แม้ว่าในเวลาต่อมาจะมีการเคลื่อนขบวนไปที่บ้านพัก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แต่ภาพที่ออกมาเต็มไปด้วยความรุนแรง ไร้ระเบียบ ไม่มีแก่นสาร ซึ่งการเคลื่อนไหวในลักษณะแบบที่เห็นถือว่า “พ่ายในทุกกระบวนท่า” มวลชนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วยแน่นอน และอย่าได้แปลกใจที่เห็น พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ดูแลการชุมนุมตามมาตรฐานสากล นั่นเพราะเขามั่นใจแล้วว่า “ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม” หมดแล้ว
ขณะที่บรรดาเด็กเยาวชนพวกนี้ ก็คอยรับหมายเรียก สะสมคดีไปแล้วกัน รวมไปถึงบรรดาแกนนำก่อนหน้านี้ ที่ได้รับการประกันตัวออกมา ก็เสี่ยงที่จะถูกถอนประกันกลับเข้าคุกอีกรอบ!!